แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การทิ้งฟ้อง กฎหมายไม่ได้บังคับให้จำต้องจำหน่ายคดีเสมอไป แม้โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายใน 7 วัน แต่เมื่อโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์มาให้ศาลแพ่งจัดการให้ ศาลชั้นต้นซึ่งถือว่าทำการแทนศาลอุทธรณ์ ก็สั่งว่าจัดการให้ แล้วต่อมาศาลอุทธรณ์ก็มิได้จำหน่ายคดี ของโจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 133 ให้อำนาจไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีของโจทก์ต่อมาจึงถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบ
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิซื้อถ่านสังเคราะห์จากบริษัท ด.จำกัด จำเลยทำสัญญาขอรับโอนสิทธิการซื้อถ่านสังเคราะห์จากโจทก์โดยให้ค่าตอบแทนสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะบังคับตามสัญญาได้ และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่หรือไม่
ข้อสัญญาที่ว่าหากจำเลยไม่ชำระค่าตอบแทนให้เสร็จในกำหนดตามสัญญาถือว่าสัญญาสิ้นผลบังคับ และจำเลยยินยอมชดใช้เบี้ยปรับแก่โจทก์ ดังนั้นเมื่อจำเลยผิดสัญญาจำเลยจะอ้างสิทธิรับซื้อถ่านสังเคราะห์ในนามโจทก์ต่อไปไม่ได้ กับต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามที่กำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับ และสัญญาดังกล่าวมิใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนที่จะสำเร็จหรือไม่สุดแต่ใจลูกหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิซื้อถ่านสังเคราะห์จากบริษัทดิเรกอุตสาหกรรมถ่านสังเคราะห์ จำกัด เป็นเวลา 1 ปี จำเลยมีความประสงค์จะได้สิทธิในการซื้อถ่านสังเคราะห์ดังกล่าวของโจทก์ จึงได้ทำสัญญาขอรับโอนสิทธิการซื้อถ่านสังเคราะห์จากโจทก์ โดยให้ค่าตอบแทนแก่โจทก์ 1,500,000 บาท และจะชำระเงินค่าตอบแทนให้โจทก์ภายในวันที่ 1 มีนาคม 2522 หากผิดนัด จำเลยยอมชดใช้เบี้ยปรับให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์ได้แจ้งการโอนสิทธิตามสัญญาดังกล่าวให้บริษัทดิเรกอุตสาหกรรมถ่านสังเคราะห์ จำกัด ทราบแล้ว จำเลยได้เข้าไปรับสิทธิและประโยชน์ตามสัญญาที่ได้รับโอนไปถูกต้องตามความประสงค์ของจำเลยทุกประการ แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าตอบแทน 1,500,000 บาท ให้โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายคิดเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 1,500,000 บาทจึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า สัญญาซื้อขายถ่านสังเคราะห์ระหว่างโจทก์กับบริษัทดิเรกอุตสาหกรรมถ่านสังเคราะห์ จำกัด เป็นสัญญาต่างตอบแทนการที่โจทก์จะโอนสิทธิการซื้อให้กับจำเลยนั้น เป็นการแปลงหนี้ใหม่ โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งจะต้องทำสัญญากันทั้งสามฝ่าย คือบริษัทดิเรกอุตสาหกรรมถ่านสังเคราะห์ จำกัด กับโจทก์และจำเลย ดังนั้นการโอนสิทธิการซื้อถ่านสังเคราะห์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่เกิดขึ้น จำเลยจึงไม่ต้องชำระเงินให้โจทก์ และโจทก์บอกเลิกสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงิน 1,500,000 บาท จากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายใน 7 วัน ถือว่าทิ้งฟ้องอุทธรณ์ทำให้อุทธรณ์ของโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์รับไว้พิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การทิ้งฟ้อง กฎหมายไม่ได้บังคับให้จำหน่ายคดีเสมอไป เมื่อโจทก์ยื่นคำแถลงลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2524 ขอให้ศาลจังหวัดเชียงใหม่ส่งสำเนาอุทธรณ์มาให้ศาลแพ่งจัดการให้ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งถือว่าทำการแทนศาลอุทธรณ์ ก็สั่งว่าจัดการให้และต่อมาศาลอุทธรณ์ก็มิได้จำหน่ายคดีของโจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 133 ให้อำนาจไว้ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีของโจทก์ต่อมาจึงถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในเรื่องนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาจำเลยในข้อกฎหมายอีกข้อหนึ่งที่ว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ลูกหนี้ จะทำกันแบบโอนสิทธิเรียกร้องตามเอกสารหมาย จ.2 ไม่ได้ นั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่งที่โจทก์โอนสิทธิในฐานะผู้ซื้อให้จำเลยและจำเลยตกลงจะชำระเงินจำนวน 1,500,000 บาท ให้แก่โจทก์ จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยผิดสัญญาประการใด โจทก์ก็ชอบที่จะว่ากล่าวตามสัญญาได้และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่ ฎีกาของจำเลยในเรื่องนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 4 เพราะข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยในข้อนี้เป็นการให้สิทธิแก่จำเลยที่จะเลือกเอาการชำระหนี้ตอบแทนหรือไม่ก็ได้ และเมื่อจำเลยเลือกเอาในทางไม่ชำระหนี้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับตามสัญญานั้นจึงไม่เกิดขึ้นนั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 4 มีข้อความว่า”เงินค่าตอบแทนจำนวน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน) ตามสัญญาฉบับนี้ ผู้รับโอนตกลงจะชำระให้แก่ผู้โอน เป็นที่เสร็จสิ้นภายในกำหนดวันที่ 1 มีนาคม 2522 หากผู้รับโอนไม่ชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ถือว่าสัญญาฉบับนี้สิ้นผลบังคับตามกฎหมายทันทีและผู้รับโอนยินยอมชดใช้เบี้ยปรับให้แก่ผู้โอนเป็นเงินจำนวน 1,000,000บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) ทันทีด้วย” ซึ่งพิเคราะห์จากสัญญาดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่า ถ้าจำเลยไม่ชำระเงินค่าตอบแทน 1,500,000 บาท ภายในวันที่ 1 มีนาคม 2522 จำเลยก็จะต้องตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาและสัญญานั้นเป็นอันสิ้นผลบังคับกล่าวคือจำเลยจะอ้างสิทธิใด ๆ เข้าไปรับซื้อถ่านสังเคราะห์จากบริษัทดิเรกอุตสาหกรรมถ่านสังเคราะห์ จำกัด ในนามโจทก์ต่อไปไม่ได้และจำเลยก็จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ซึ่งคู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าเป็นเบี้ยปรับจำนวน 1,000,000 บาท หาใช่ว่าเมื่อสัญญาสิ้นผลบังคับแล้วจำเลยจะไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และการที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลย 1,500,000 บาท ตามฟ้องก็เห็นได้ชัดว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเท่าจำนวนที่จำเลยจะต้องชำระค่าตอบแทนให้โจทก์เท่านั้น หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาไม่ และสัญญาดังกล่าวก็มิใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนที่จะสำเร็จหรือไม่สุดแต่ใจของลูกหนี้ตามความเข้าใจของจำเลย ฎีกาของจำเลยในเรื่องนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ไม่เสียหายและสืบไม่สมว่ามีพฤติการณ์พิเศษอย่างไรนั้น พออนุโลมได้ว่า ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์นั้นไม่ถูกต้อง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ค่าเสียหายในเรื่องนี้คู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าเป็นเบี้ยปรับจำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลก็มีอำนาจลดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าหลังจากที่จำเลยผิดสัญญาแล้ว โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่อย่างไร เช่นโจทก์จะต้องรับภาระเป็นผู้ซื้อทำให้ขาดทุนหรือถูกบริษัทดิเรกอุตสาหกรรมถ่านสังเคราะห์ จำกัด ปรับหรือต้องเสียค่าใช้จ่ายในการหาซื้อรายใหม่คงมีแต่ข้อเท็จจริงที่ว่าในเดือนธันวาคม 2521 นายสมบูรณ์ นันทะวิวัฒน์ และนายกิติ อาสาสรรพกิจมาขอซื้อถ่านสังเคราะห์จากโจทก์ในราคากิโลกรัมละ 3 บาท ซึ่งไม่แน่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้นำบุคคลทั้งสองมาเบิกความสนับสนุนและไม่ได้ความว่าหลังจากจำเลยผิดสัญญาแล้ว โจทก์เคยไปติดต่อขายให้ใครบ้างแต่จำเลยนำสืบว่าความผิดพลาดของเรื่องนี้อยู่ที่บริษัทดิเรกอุตสาหกรรมถ่านสังเคราะห์ จำกัด ผลิตถ่านไม่ได้ ซึ่งถึงอย่างไรโจทก์ก็ไม่เสียหาย ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าความเสียหายของโจทก์ในเรื่องนี้ไม่แน่นอนการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 1,000,000 บาท เท่าเบี้ยปรับนั้นเป็นการสูงเกินส่วน สมควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เพียง 200,000 บาท ฎีกาของจำเลยในเรื่องนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ