คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในทางแพ่งต่างกับการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดอาญาโดยประมาท ซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยแน่ชัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 สำหรับคดีแพ่งเมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องแสดงว่าการละเมิดของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ก็พอให้เข้าใจได้แล้วว่า ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์มีอย่างไร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า นายย้าผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกเลขทะเบียนส.ค. 00331 ซึ่งบรรทุกเบียร์และโซดา ได้ขับรถเฉี่ยวชนกับรถยนต์เลขทะเบียน ล.บ. 03951 เป็นเหตุให้ลังเบียร์และโซดากระเด็นตกจากรถ ถูกรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ก 5252 ที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์เสียหาย เหตุที่รถเฉี่ยวชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์เลขทะเบียน ส.ค.00221 และผู้ขับขี่รถยนต์เลขทะเบียน ล.บ. 03951 ดังนี้ เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกเบียร์และโซดา หมายเลขทะเบียน ส.ค. 00331 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และผู้ขับขี่รถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.บ. 03951 ลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ได้ขับรถเฉี่ยวชนกันโดยประมาท เป็นเหตุให้ลังเบียร์และโซดากระเด็นตกลงมาถูกรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก 5252 ที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์เสียหาย โจทก์เสียค่าซ่อมไปเป็นเงิน 10,251 บาท จึงได้รับช่วงสิทธิ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้การปฏิเสธ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายว่าผู้ขับขี่ทั้งสองประมาทหรือกระทำผิดกฎหมายอย่างไร อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องฐานละเมิดเอาจากจำเลยได้

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องมาพอที่จะเข้าใจข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในคดีแพ่งนั้น แตกต่างกับการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดอาญาโดยประมาท ซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยแน่ชัดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 สำหรับคดีแพ่ง เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องแสดงว่าการละเมิดของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ก็พอให้เข้าใจได้แล้วว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์มีอย่างไร คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่านายย้าผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกเลขทะเบียนที่ ส.ค. 00331ซึ่งบรรทุกเบียร์และโซดา ได้ขับรถเฉี่ยวชนกับรถยนต์เลขทะเบียนที่ล.บ. 03951 เป็นเหตุให้ลังเบียร์และโซดากระเด็นตกจากรถถูกรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ก 5252 ที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์เสียหายเหตุที่รถเฉี่ยวชนกันที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์เลขทะเบียน ส.ค. 00331 และผู้ขับขี่รถยนต์เลขทะเบียน ล.บ. 03951 เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share