แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยสร้างโรงเรือนลงในที่ดินราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยไม่มีสิทธิถึงหากจะเป็นการสร้างโดยสุจริต กรณีก็ไม่ต้องด้วยมาตรา 1310 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะนำมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1159/2511)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และให้จำเลยรื้อถอนทรัพย์สินสิ่งปลูกสร้างออกไป
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินนี้โดยสุจริต โจทก์ประมาทเลินเล่อ ควรจะต้องรับผิดต่อราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการสร้างโรงเรือนของจำเลย ซึ่งจำเลยจะได้ให้การพร้อมฟ้องแย้งต่อไป
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมิได้ต่อสู้ว่า จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่อย่างใด คงอ้างแต่ว่าอาคารสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่ดินของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์กับให้รื้อถอนทรัพย์สินสิ่งปลูกสร้างออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีสิทธิอะไรนั้น โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่ให้ออกไปได้ แต่การให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปด้วยนั้น ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ซึ่งจำต้องให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนว่าจำเลยสร้างโรงเรือนลงโดยสุจริตหรือไม่ โจทก์ประมาทเลินเล่อหรือไม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้อต่อสู้ว่าจำเลยอยู่ได้โดยอาศัยสิทธิอะไร เมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้อยู่ จำเลยก็ต้องออกไป ที่พิพาทของโจทก์เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) ไม่ใช่ทรัพย์สินของเอกชนกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 1310 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะนำมาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1159/2511 ไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงกันต่อไป
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น