แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ ขับรถของโจทก์ไปชนกับรถของบุคคลภายนอก แม้รถยนต์ชนกันครั้งนี้จะเกิดจากจำเลยทำละเมิดและรถยนต์ที่จำเลยขับซึ่งเป็นของโจทก์มีสภาพบกพร่องห้ามล้อไม่ดี แต่โจทก์ก็ไม่ใช่คู่กรณีผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยจึงไม่ใช่เรื่องโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีส่วนทำผิดก่อให้เกิดความเสียหายซึ่งจะต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442,223 เพื่อเฉลี่ยความรับผิดตามข้อต่อสู้ของจำเลยกรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425,426 เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายและพิพากษาให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์เพียงบางส่วนจึงไม่ถูกต้อง จำเลยต้องชำระค่าเสียหายที่โจทก์จ่ายให้บุคคลภายนอกไปเต็มจำนวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์มีตำแหน่งเป็นพนักงานขับรถ เมื่อวันที่6 มิถุนายน 2520 จำเลยได้ขับรถคันหมายเลขทะเบียน กท.ผ.8139 ไปใช้ในธุรกิจส่วนตัวโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ จำเลยขับรถโดยประมาท ทำให้รถยนต์ที่จำเลยขับเฉี่ยวชนกับรถยนต์นั่งหมายเลขทะเบียน 4 ค-7703 ของนายพรชัยทำให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายและคนในรถของนายพรชัยได้รับบาดเจ็บต่อมาจำเลยถูกฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 15 วัน และปรับ 800 บาทโทษจำรอการลงโทษไว้มีกำหนดหนึ่งปี ต่อมานายพรชัยได้ฟ้องจำเลยกับโจทก์ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยกับโจทก์ ร่วมกันชำระเงินแก่นายพรชัย 94,723 บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด โจทก์จึงต้องชำระเงินให้แก่นายพรชัย 118,408 บาท โจทก์ในฐานะนายจ้างของจำเลยมีสิทธิไล่เบี้ยให้จำเลยชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 426 เต็มจำนวน และจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่รถโจทก์ได้รับเป็นเงินอีก 33,551 บาท ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยให้การว่า รถยนต์ชนกันครั้งนี้มิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยแต่เป็นเหตุสุดวิสัย หากฟังว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิด โจทก์ก็มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วยเพราะรถยนต์ของโจทก์มีห้ามล้อมือ ห้ามล้อเท้าและระบบสัญญาณไฟใช้การไม่ได้ จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบหลายครั้ง แต่เจ้าหน้าที่กองบริการของโจทก์อ้างว่าไม่มีงบประมาณ จำเลยจึงต้องนำรถที่มีสภาพบกพร่องใช้ในทางการที่จ้างของโจทก์เรื่อยมาจนเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ ถือได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายมีส่วนกระทำความผิดก่อให้เกิดความเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเต็มจำนวนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่บุคคลภายนอก และต่อสู้ว่าค่าซ่อมของโจทก์เป็นเงินเพียง 16,245 บาทและค่าเสียหายส่วนนี้ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยทำละเมิดตามฟ้องจริง และไม่พอถือว่าโจทก์มีส่วนร่วมทำความผิดก่อให้เกิดความเสียหายด้วย โจทก์มีสิทธิให้จำเลยชำระเงินค่าสินไหมทดแทนได้เต็มจำนวนในส่วนที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไป แต่ค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมรถยนต์โจทก์ โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 115,596 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 80,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้รถยนต์ชนกันครั้งนี้จะเกิดจากจำเลยทำละเมิดและรถยนต์ที่จำเลยขับซึ่งเป็นของโจทก์มีสภาพบกพร่องห้ามล้อไม่ดีด้วย แต่โจทก์ไม่ใช่คู่กรณีผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยจึงไม่ใช่เรื่องโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีส่วนทำผิดก่อให้เกิดความเสียหายซึ่งจะต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442, 223 เพื่อเฉลี่ยความรับผิดตามข้อต่อสู้ของจำเลย กรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425, 426 เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายและพิพากษาให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงบางส่วนจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น