แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้ผู้ร้องภายใน 7 วัน ปรากฏว่าส่งสำเนาฎีกาให้ทนายผู้ร้องไม่ได้ ต่อมาโจทก์แถลงขอให้ส่งสำเนาฎีกาแก่ผู้ร้องอีกครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้ส่งสำเนาฎีกาให้ตัวผู้ร้อง หากไม่พบตัวผู้ร้องและไม่มีผู้ใดรับแทนโดยชอบให้ปิด คำสั่งศาลชั้นต้นครั้งหลังเป็นคำสั่งที่ต่อเนื่องมาจากคำสั่งเดิมนั่นเอง โจทก์จึงต้องนำส่งสำเนาฎีกาให้ตัวผู้ร้องภายในระยะเวลาอันสมควร การที่โจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้ผู้ร้องแก้ตามคำสั่งศาลชั้นต้นครั้งหลังจนล่วงเลยเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึง 2เดือนเศษ และหลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ติดต่อให้ส่งสำเนาฎีกาแก่ผู้ร้องแต่อย่างใด พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1774(2),247 แล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา อ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์สินบางรายการเป็นของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้องโจทก์นำยึดอีกครั้งหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดบางรายการเป็นของผู้ร้องซื้อมาจากจำเลยโดยความรู้เห็นยินยอมของโจทก์กับภริยาโจทก์
โจทก์คัดค้านคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องและโจทก์แถลงขอให้ศาลถือเอาพยานหลักฐานที่นำสืบในชั้นแรกเป็นพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายและไม่สืบพยานอื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว มีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์สินตามคำร้องขัดทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้คัดค้านว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยในเรื่องเจ้าของทรัพย์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นที่ว่า ทรัพย์ตามคำร้องขัดทรัพย์เป็นของผู้ร้องหรือมิใช่
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทรัพย์ตามคำร้องขัดทรัพย์เป็นของผู้ร้อง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 10 กันยายน 2527 ให้รับฎีกาโจทก์และให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้ผู้ร้องภายใน 7 วัน ต่อมาโจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้นายผู้ร้องไม่ได้ครั้นวันที่ 4 ตุลาคม 2527 โจทก์แถลงขอให้ส่งสำเนาฎีกาแก่ผู้ร้องอีกครั้งหนึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำเนาฎีกาให้ตัวผู้ร้องหากไม่พบและไม่มีผู้ใดรับแทนโดยชอบให้ปิด แต่โจทก์มิได้นำส่งจนกระทั่งวันที่ 21 ธันวาคม 2527 ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้ส่งฎีกาของโจทก์มายังศาลฎีกาเพื่อมีคำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นแรกศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้ผู้ร้องภายใน 7 วัน และส่งสำเนาฎีกาให้ทนายผู้ร้องไม่ได้ ต่อมาเมื่อโจทก์แถลงขอให้ส่งสำเนาฎีกาแก่ผู้ร้องอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำเนาฎีกาให้ตัวผู้ร้อง หากไม่พบตัวผู้ร้องและไม่มีผู้ใดรับแทนโดยชอบให้ปิดนั้นเห็นได้ว่าเป็นคำสั่งที่ต่อเนื่องมาจากคำสั่งเดิม โจทก์จึงต้องส่งภายในระยะเวลาอันสมควรการที่โจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้ผู้ร้องแก้ตามคำสั่งศาลชั้นต้น จนล่วงเลยเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึง 2 เดือนเศษ และภายหลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ติดต่อให้ส่งสำเนาฎีกาแก่ผู้ร้องแต่อย่างใด พฤติการณ์ของโจทก์ถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2), 247
ให้จำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1)