คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาจ้างกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐโดยไม่มีข้อตกลงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ฉะนั้น อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทย จึงต้องคิดตามอัตราแลกเปลี่ยนของทางราชการในวันที่ถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 27 วรรคสอง เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 24 ตุลาคม 2540 ซึ่งเป็นวันจ่ายค่าจ้างกำหนดให้ 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ38.40 บาท จำเลยจะประกาศกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นใหม่โดยกำหนดให้1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 26 บาท ไม่ได้ เพราะสัญญาจ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างเป็นสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 5 การที่จำเลยประกาศกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นใหม่นี้ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ เมื่อโจทก์มิได้ให้ความยินยอมประกาศของจำเลยที่กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินขึ้นใหม่ จึงไม่มีผลใช้บังคับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชี และโจทก์มีสิทธิได้รับโบนัสเท่ากับเงินเดือน 2 เดือน เป็นอย่างน้อย ต่อมาจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่มีเหตุผลอันสมควร จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงิน 2,467.58 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าชดเชยจำนวน 3 เดือนเป็นเงิน 7,402.74 ดอลลาร์สหรัฐ โดยจ่ายเป็นเงินไทยรวมจำนวน 256,628.17 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 26 บาท การเลิกจ้าง การจ่ายค่าจ้างและค่าชดเชย ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และการจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 26 บาทนั้นขัดต่อประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 27 ซึ่งให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนของทางราชการในวันที่ถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง ซึ่งทางราชการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 38.40 บาท ทำให้โจทก์ขาดผลประโยชน์อันควรได้รับ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายคิดเป็นเงินไทยทั้งสิ้น 974,550.72 บาท แต่จำเลยจ่ายให้โจทก์จำนวน 256,628.32 บาท ขาดไปจำนวน690,922.40 บาท จำเลยจงใจผิดนัดจ่ายเงินดังกล่าวโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรโจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี และเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าของเงินที่ค้างชำระทุกระยะ 7 วัน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 786,504.40 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 501,412.26 บาท ดอกเบี้ยกรณีผิดนัดจ่ายค่าจ้างร้อยละสิบห้าต่อปีและเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าทุกระยะ 7 วัน ของเงิน125,353 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ในการจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ต้องคิดอัตราแลกเปลี่ยน 26 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้เพราะโจทก์และพนักงานอื่นของจำเลยต่างตกลงกับจำเลยยอมรับการปรับปรุงระบบการจ่ายค่าจ้างจากเดิมที่จ่ายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเงินบาท โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ26 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างในอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 38.40บาท จำเลยได้บอกกล่าวเลิกจ้างให้โจทก์ทราบล่วงหน้าด้วยวาจาแล้วว่าจะเลิกจ้างโจทก์ ซึ่งโจทก์รับทราบและยอมรับการเลิกจ้างของจำเลยโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสประจำปี โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เพราะจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยสุจริต ด้วยเหตุที่โจทก์ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาอย่างเต็มความสามารถเป็นเหตุให้งานล่าช้าประกอบกับจำเลยต้องปรับปรุงการทำงาน การจ่ายค่าจ้างและการบริหารงานบุคคลจึงจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานบางส่วน โดยพิจารณาเลิกจ้างลูกจ้างที่มีผลการทำงานไม่เป็นที่พอใจ จำเลยได้แจ้งให้โจทก์และพนักงานอื่นที่จะถูกเลิกจ้างทราบล่วงหน้าแล้วโจทก์และพนักงานอื่นตกลงรับการเลิกจ้าง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าจ้างและค่าชดเชยเนื่องจากจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ถูกต้องครบถ้วนแล้วขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2538จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชีได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ2,467.58 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรัฐบาลประกาศอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศลอยตัว จำเลยก็จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ในอัตราลอยตัว ต่อเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2540 จำเลยมีบันทึกภายในเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 26 ตุลาคม 2540 โจทก์ลงชื่อรับทราบไว้ ต่อมาวันที่ 26 ตุลาคม 2540 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 192,471 บาท และค่าจ้างเดือนตุลาคม 2540 จำนวน 64,157.08 บาท ให้แก่โจทก์ นับถึงวันเลิกจ้างโจทก์มีอายุงาน 2 ปี 10 เดือนตามสัญญาจ้าง ข้อ 9 จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้างในเวลาใด ๆ โดยจำเลยบอกกล่าวล่วงหน้าให้ลูกจ้างทราบเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวล่วงหน้าเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน ตามเงื่อนไขการเลิกจ้างที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยมีพฤติการณ์กลั่นแกล้งโจทก์ การเลิกจ้างโจทก์มีเหตุสมควรมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ส่วนค่าชดเชยสัญญาจ้าง ข้อ 2 ระบุชัดว่าจำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เดือนละ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่ได้ระบุอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยไว้ จึงต้องคิดอัตราแลกเปลี่ยนในวันจ่ายเงิน จำเลยจ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยให้โจทก์โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 26 บาท จึงไม่ถูกต้อง อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 24 ตุลาคม 2540 นั้น 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 38.40 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามเดือนคิดเป็นเงิน จำนวน 284,265.21 บาท จำเลยจ่ายให้แล้ว 192,471.24 บาท จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์อีก 91,793.97 บาท และจำเลยจ่ายค่าจ้างในเดือนตุลาคม 2540 ให้โจทก์เพียง 64,157.08 บาท แต่โจทก์มีสิทธิได้รับ 94,755.07 บาท จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างให้โจทก์อีก 30,599.99 บาท จำเลยกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสประจำปี ข้อ 2 และข้อ 3 รวมความว่า พนักงานที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้างระหว่างปีจะไม่มีสิทธิได้รับโบนัสประจำปี กำหนดจ่ายเงินโบนัสทุกวันที่ 25 ธันวาคม ของแต่ละปี เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2540 ก่อนถึงกำหนดจ่ายเงินโบนัสโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกกลั่นแกล้งจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินโบนัสจำเลยผิดนัดการจ่ายค่าจ้างจึงต้องจ่ายดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีจากต้นเงินค่าจ้างจำนวน 30,597.99 บาท ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 มีนาคม (ที่ถูกเมษายน) 2515 ข้อ 31 นับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2540 ซึ่งเป็นวันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนค่าชดเชยโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามบทบัญญัติดังกล่าว สำหรับเงินเพิ่มร้อยละสิบห้าทุกระยะ 7 วันนั้น ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดการจ่ายค่าจ้างโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพียงแต่จำเลยจ่ายให้ตามความเข้าใจ และการแปลสัญญาจ้างของจำเลยเท่านั้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจำนวน 30,597.97 บาท และค่าชดเชยจำนวน 91,793.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีและร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดและวันเลิกจ้าง (วันที่ 26 ตุลาคม 2540) ตามลำดับ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า ในวันทำสัญญาจ้างระหว่างจำเลยกับโจทก์ ได้มีการตกลงให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 25 บาท เป็นเกณฑ์คิดคำนวณนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่ได้ระบุอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยไว้ จึงต้องคิดเทียบในวันที่จ่ายเงิน อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2540 จำเลยประกาศกำหนดการจ่ายค่าจ้างให้แก่พนักงานเป็นเงินไทยโดยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 26 บาท โจทก์และพนักงานทุกคนไม่คัดค้านประกาศดังกล่าวจึงถือได้ว่าประกาศเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 จำเลยจ่ายค่าจ้างให้พนักงานในอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวก็เป็นการอนุเคราะห์พนักงานที่จำเลยจัดให้เท่านั้น ไม่มีผลยกเลิกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม การที่จำเลยประกาศใช้อัตราแลกเปลี่ยน1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 26 บาท จึงไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างอันเป็นเหตุให้โจทก์หรือพนักงานเสียเปรียบ จำเลยมีสิทธิเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างดังกล่าวได้นั้น เห็นว่า สัญญาจ้างข้อ 2 กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐและไม่มีข้อตกลงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนไว้ อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทย จึงต้องคิดตามอัตราแลกเปลี่ยนของทางราชการในวันที่ถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 27 วรรคสอง ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 24ตุลาคม 2540 กำหนดให้ 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 38.40 บาท สัญญาจ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างดังกล่าวเป็นสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 5 การที่จำเลยประกาศกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นใหม่โดยกำหนดให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 26 บาท จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ให้ความยินยอมแล้วประกาศของจำเลยที่กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินขึ้นใหม่ จึงไม่มีผลใช้บังคับจำเลยไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเดิมที่ทำไว้ต่อโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยที่จ่ายขาดไปพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จึงชอบแล้วอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share