แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องของฝ่ายโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียว มีโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวลงลายมือชื่อในคำร้อง แม้คำร้องจะระบุว่าเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 กับพวก และระบุว่าผู้ร้องโจทก์ทั้งสาม แต่ไม่ปรากฏหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ทำแทนโจทก์ที่ 2 คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 2 ด้วย
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ที่ปราศจากกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นอันโจทก์ที่ 2 จะพึงยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ไว้วินิจฉัย
ทนายโจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอถ่ายสำเนาถ้อยคำสำนวนหลายรายการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 โดยกล่าวไว้ในคำแถลงด้วยว่าศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 เวลา 13.30 นาฬิกา จึงเป็นการยืนยันโดยชัดแจ้งว่า ทนายโจทก์ทั้งสามทราบนัดในวันดังกล่าวแล้ว และเนื่องจากทนายความนอกจากมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตัวความทนายความยังอยู่ในฐานะตัวแทนในคดีของตัวความด้วย การที่ทนายความทราบนัดย่อมถือได้โดยชอบว่าตัวความทราบนัดแล้ว ย่อมรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นอย่างช้า โดยมิพักต้องพิจารณาว่าการส่งหมายนัดถึงโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าว จึงเป็นการชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการอ่าน
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกแถวที่ปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ให้รื้อถอนโกดัง และให้ชดใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวของโจทก์ให้รื้อถอนโกดัง และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสามฎีกา ศาลฎีกาส่งสำนวนและคำพิพากษาศาลฎีกาถึงศาลชั้นต้นวันที่ 28 มีนาคม 2539 ศาลชั้นต้นออกหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 14พฤษภาคม 2539 ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ทั้งสามดำเนินกระบวนพิจารณาเพิ่มเติมต่อศาลฎีกาหลายประการ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนและคำพิพากษาศาลฎีกากลับสู่ศาลฎีกา โดยส่งกลับมากลับไปอีก 2 รอบครั้งสุดท้ายศาลฎีกาส่งสำนวนและคำพิพากษาศาลฎีกาถึงศาลชั้นต้นวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 ศาลชั้นต้นออกหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนัด โดยโจทก์ทั้งสามไม่มาฟัง ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9199/2538 วันที่ 15 กรกฎาคม 2540 โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ขอให้ศาลฎีกาดำเนินกระบวนพิจารณาและดำเนินการหลายประการ ตามที่โจทก์เคยเสนอไว้ แล้วจึงค่อยออกคำพิพากษาใหม่ ทั้งนี้ โจทก์ที่ 1 อ้างว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาแก่ฝ่ายโจทก์ เป็นไปโดยไม่ชอบศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การส่งหมายนัดชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะของโจทก์ที่ 1 ที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าคำร้องของฝ่ายโจทก์ ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2540ที่ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวมีโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวลงลายมือชื่อในคำร้อง แม้คำร้องจะระบุว่าเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 กับพวก และระบุว่าผู้ร้องโจทก์ทั้งสามแต่ไม่ปรากฏหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ทำแทนโจทก์ที่ 2 คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 2 ด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 อ้างอิงถึงคำร้องลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2540 และคำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2540 ที่สั่งคำร้องนั้น จึงปราศจากกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นอันโจทก์ที่ 2 จะพึงยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ศาลฎีกาก็ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ไว้วินิจฉัยคงเหลือเฉพาะฎีกาของโจทก์ที่ 1ที่จะวินิจฉัยต่อไป
มีปัญหาวินิจฉัยว่า จะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9199/2538ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 หรือไม่ โจทก์ที่ 1 อ้างว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาโดยโจทก์ที่ 1 ไม่ทราบนัด เนื่องจากศาลชั้นต้นส่งหมายนัดแก่โจทก์ที่ 1 ณ ที่อยู่เดิมของโจทก์ที่ 1 ตามคำฟ้อง ซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ย้ายที่อยู่ไปอยู่ที่อื่นแล้ว ทั้งได้แถลงต่อศาลชั้นต้นให้ทราบแล้วด้วย และอ้างอีกประการหนึ่งว่า แม้ตามที่อยู่เดิมของโจทก์ที่ 1 ดังที่ปรากฏในหมายนัด เจ้าพนักงานศาลก็หาได้นำหมายนัดไปปิดไว้ ณ สถานที่ดังกล่าวเช่นที่รายงานศาลไม่ ในปัญหาข้อนี้ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 นายวีระศักดิ์ ทองสุทธิ์ ทนายโจทก์ทั้งสาม ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอถ่ายสำเนาถ้อยคำสำนวนหลายรายการ โดยกล่าวไว้ในคำแถลงด้วยว่า คดีนี้ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 เวลา 13.30 นาฬิกา จึงเป็นการยืนยันโดยชัดแจ้งว่าทนายโจทก์ทั้งสามทราบนัดแล้ว เนื่องจากทนายความนอกจากมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตัวความ ทนายความยังอยู่ในฐานะตัวแทนในคดีของตัวความด้วย ดังนั้น การที่ทนายความทราบนัดย่อมถือได้โดยชอบว่า ตัวความทราบนัดแล้ว ด้วยเหตุนี้ย่อมรับฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นอย่างช้า โดยมิพักต้องพิจารณาว่าการส่งหมายนัดถึงโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามนัด เป็นการชอบแล้วไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการอ่าน
พิพากษายืน