แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 นำรถยนต์โดยสารไปเข้าร่วมวิ่งกับบริษัทจำเลยที่ 3 ในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 3 ภายในรถยนต์โดยสารมีประกาศของบริษัทจำเลยที่ 3 ติดอยู่และตั๋วโดยสารก็เป็นตั๋วของบริษัทจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าคนขับรถโดยสารคันดังกล่าวเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 3 เมื่อลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายมีผู้บาดเจ็บและตายอันเป็นการทำละเมิดในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 ที่ 3 ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องมีใจความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชม. 01850 จำเลยที่ 3เป็นผู้มีสิทธิในการเดินรถยนต์โดยสารในเส้นทางสายเชียงราย – เชียงของ จำเลยที่ 3 ได้รับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวเข้าเป็นรถร่วมกับจำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันจ้างคนขับรถคันนี้รับส่งคนโดยสารไปตามเส้นทางดังกล่าว วันที่ 8พฤศจิกายน 2524 คนขับรถยนต์โดยสารของจำเลยได้ขับรถยนต์โดยสารรับส่งคนโดยสารไปตามเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 3 โดยประมาทเลินเล่อชนกับรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน ก. 3339สงขลา ของนายยืนยง หอพัฒนาวุฒิวงศ์ โจทก์เสียหาย ผู้ที่นั่งมาในรถเก๋งคือ นายเจียร ชูเรืองสุข ถึงแก่ความตายทันทีนางอัมพรสมชีพ โจทก์ และนางสาวปรีดา หุ้นล่อง โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 18,975 บาท 84,000 บาท 39,500 บาท 305,000 บาท และ 687,042บาท แก่นางอัมพรโจทก์ นางเชือนโจทก์ นางดวง เด็กชายวรศักดิ์เด็ดชายประจักษ์โจทก์ และนายยืนยงโจทก์ ตามลำดับพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามทุกสำนวนให้การว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชม. 01850และผู้ขับรถไม่ได้เป็นลูกจ้างกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสาม เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์เก๋งขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 8,475บาท แก่โจทก์ที่ 1 ชำระเงิน 84,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ชำระเงิน 16,520 บาท แก่โจทก์ที่ 3 ชำระเงิน 297,770 บาท แก่โจทก์ที่ 4 และชำระเงิน 88,000 บาท แก่โจทก์ที่ 5 พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ทุกสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ทุกสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานโจทก์คือร้อยตำรวจเอกบังคม คีติสารซึ่งเป็นพนักานสอบสวนคดีที่รถยนต์ทั้งสองคันชนกัน เบิกความว่า จากการสืบสวนทราบว่า รถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชม.01850 เป็นของจำเลยที่ 1 จึงได้สอบถามไปยังบริษัทจำเลยที่3 ซึ่งก็ได้ความว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1มาขอเข้าร่วมกับบริษัทจำเลยที่ 3 แต่ยังไม่ได้นำหลักฐานมาเข้าร่วม จากการสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การว่าเดิมรถยนต์คันนี้เป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาได้ขายให้นายสุรเชษฐ์ บุตรเขยไป ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 3 นำสืบรับในข้อเหล่านี้ รูปคดีมีเหตุผลน่าเชื่อว่า รถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชม. 01850เป็นของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ว่า ได้ขายให้นายสุรเชษฐ์บุตรเขยไปนั้นเห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานการซื้อขาย ส่วนการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ไปเข้าร่วมวิ่งกับบริษัทจำเลยที่ 3 นั้น ได้ความว่ารถยนต์โดยสารคันดังกล่าวได้เข้าไปวิ่งในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 3 จนเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ทั้งภายในรถยนต์โดยสารก็มีประกาศคำเตือนของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่ให้ผู้โดยสารซึ่งไม่ได้เสียค่าระวางสิ่งที่นำมาห้องระวังรักษาของนั้นเอง โดยทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบถ้าสูญหาย และได้ความจากนายพลวัน เดชประมวลพลพยานโจทก์ ซึ่งเป็นทนายความของโจทก์และร้อยตำรวจโทโกวิทโรจน์แสงรัตน์ พยานโจทก์ ซึ่งเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงรายว่า หลังเกิดเหตุแล้ว นายพลวันได้ไปขอตรวจค้นรถยนต์โดยสารคันนี้ ซึ่งถูกยึดไว้เป็นของกลาง จากการตรวจค้นพบเศษตั๋วโดยสารซึ่งเป็นตั๋วของบริษัทจำเลยที่ 3 ในรถ แสดงให้เห็นว่า มีการตกลงยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถเข้าไปวิ่งร่วมในเส้นทางของจำเลยที่ 3 แล้วจึงถือได้ว่าคนขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 3 เมื่อลูกจ้างดังกล่าวทำละเมิดในทางการที่จ้างจำเลยที่ 1 ที่ 3 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 รับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ สำนวนที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับสำนวนคดีแรกให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และยกฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 สำหรับสำนวนคดีแรกและสำนวนคดีที่ 3 เสีย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาทั้งหมดสำหรับคดีสองสำนวนดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ สำนวนคดีที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาท 2,000 บาท และ 600 บาทแทนโจทก์ในสำนวนคดีที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ตามลำดับ.