คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานอัยการผู้ว่าคดี จำเลยที่ 3 เป็นอัยการจังหวัด การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาที่โจทก์เป็นผู้เสียหาย เป็นการใช้ดุลพินิจ ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 กำหนดให้อำนาจไว้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ส่วนการแจ้งผลคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้อง และความเห็นที่ไม่อุทธรณ์นั้นก็ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับกำหนดให้พนักงานอัยการต้องแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ การที่จำเลยที่ 3 ไม่แจ้งผลคำพิพากษาและความเห็นที่ไม่อุทธรณ์ให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายทราบ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายเช่นกัน กรมอัยการจำเลยที่ 1 เป็นผู้ บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ที่ 3เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 270,000 บาทหรือให้จัดการคืนรถยนต์และเครื่องอุปกรณ์ฉายภาพยนตร์ในสภาพเรียบร้อยพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบแบบแผนของทางราชการและตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการที่ทำความเห็นไม่อุทธรณ์เสนอต่อจำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ตรวจสำนวนและหลักฐานในคดีแล้วเห็นว่าคำพิพากษาของศาลจังหวัดร้อยเอ็ดชอบด้วยกฎหมาย จึงได้เสนอสำนวนพร้อมด้วยคำสั่งไม่อุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบด้วยพนักงานอัยการไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งผลคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ไม่อุทธรณ์ให้ผู้เสียหายทราบฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานจึงงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
โจทก์กล่าวในคำฟ้องอ้างเหตุที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำละเมิด 2ประการ คือจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์ในคดีที่โจทก์เป็นผู้เสียหาย และจำเลยที่ 3 ไม่แจ้งผลคำพิพากษาและความเห็นที่ไม่อุทธรณ์ให้โจทก์ทราบ เหตุประการแรกที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความเห็นไม่อุทธรณืคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่โจทก์เป็นผู้เสียหายนั้น เห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145กำหนดให้อำนาจไว้ จึงถือไม่ได้ว่าการไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในคดีดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อโจทก์ส่วนการแจ้งผลคำพิพากษาและความเห็นที่ไม่อุทธรณ์นั้นก็ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับกำหนดให้พนักงานอัยการต้องแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ ฉะนั้นที่จำเลยที่ 3 ไม่แจ้งผลคำพิพากษาและความเห็นที่ไม่อุทธรณ์ให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีทราบ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายเช่นกัน ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์และพิพากษายกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นกัน จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เคลือบคลุมหรือไม่ ตามที่โจทก์ฎีกาขอให้วินิจฉัยต่อไป”
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share