แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศของจำเลยเรื่องการลาออกเนื่องจากเกษียณอายุกำหนดให้พนักงานตั้งแต่หัวหน้าแผนกขึ้นไปที่มีอายุครบ 60 ปีเกษียณอายุในวันสิ้นรอบปีบัญชีของจำเลย เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 10 การที่จำเลยออกระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับต่อมากำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณเมื่ออายุครบ 45 ปี เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างหญิง และจำเลยมิได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 13ถึงมาตรา 19 ระเบียบและข้อบังคับฉบับหลังจึงไม่มีผลบังคับเพราะขัดกับมาตรา 20 จำเลยจะให้โจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกของจำเลยออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุก่อนโจทก์มีอายุครบ 60 ปีหาได้ไม่ การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยตำแหน่งหัวหน้าแผนกบัญชีและการเงิน จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ครบเกษียณอายุ 45 ปี พร้อมกับจ่ายเงินสะสม เงินสมทบ และค่าชดเชยตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเพราะจำเลยได้ออกประกาศกำหนดเกณฑ์เกษียณอายุของพนักงานตั้งแต่หัวหน้าแผนกขึ้นไปให้เกษียณอายุเมื่อ 60 ปี จำเลยออกระเบียบข้อบังคับภายหลังว่าให้พนักงานหญิงเกษียณอายุ 45 ปีโดยมิได้ยกเลิกประกาศเดิม และโจทก์มิได้ตกลงด้วยจึงขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งกำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณอายุเมื่อ 45 ปี ประกาศที่โจทก์อ้างนั้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับเกี่ยวกับการจ่ายเงินสะสม เงินสมทบซึ่งจำเลยประกาศใช้เพื่อเป็นการช่วยเหลือพนักงานของจำเลย และจำเลยไม่จำต้องบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางเห็นว่า เอกสารท้ายฟ้องและเอกสารที่คู่ความส่งต่อศาลและคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับใหม่ซึ่งยกเลิกฉบับเดิมแล้ว ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศของจำเลยเรื่องการลาออกเนื่องจากเกษียณอายุที่กำหนดให้พนักงานตั้งแต่หัวหน้าแผนกขึ้นไปที่มีอายุครบ 60 ปี เกษียณอายุในวันสิ้นรอบปีบัญชีของจำเลย เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 10 การที่จำเลยออกระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับหลังที่กำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณอายุครบ 45 ปีนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งจำเลยมิได้แจ้งข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบและข้อบังคับดังกล่าวให้ลูกจ้างทราบเป็นหนังสือ และดำเนินการให้มีการเจรจาตกลงกันระหว่างจำเลยกับลูกจ้าง หรือตัวแทนของทั้งสองฝ่าย และนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไปจดทะเบียนต่ออธิบดีกรมแรงงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมแรงงานมอบหมายตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 13 ถึงมาตรา 19 แต่อย่างใดไม่ ดังนั้นระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับหลังที่ให้พนักงานหญิงของจำเลยซึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วยเกษียณอายุเมื่ออายุครบ45 ปี จึงไม่มีผลบังคับเพราะขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 ต้องใช้ประกาศของจำเลยเรื่องการลาออกเนื่องจากเกษียณอายุฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2512 บังคับจำเลยจะให้โจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกของจำเลยออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุก่อนโจทก์มีอายุครบ 60ปี หาได้ไม่ เพราะฉะนั้นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ส่วนจำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาตามฟ้องนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาในปัญหาข้อนี้ต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาปัญหาดังกล่าวข้างต้น แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.