คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นว่าโจทก์ฟ้องเรียกราคารถยนต์คันพิพาท มิใช่ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ เพียงแต่พิพากษาแก้เฉพาะดอกเบี้ยก่อนฟ้อง ย่อมเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ เมื่อมิได้ฟ้องเรียกร้องภายใน 2 ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา165(6) แม้ข้ออ้างในฎีกาของจำเลยที่ 1 จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 ที่ว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ ซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาแล้ว เพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2519 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ราคา 81,900 บาท ผ่อนชำระ 30 งวดๆละเดือนๆละ 2,730 บาท ชำระภายในวันที่ 5 ของแต่ละเดือน เริ่มแต่วันที่5 ตุลาคม 2519 มีข้อตกลงกันว่าถ้ารถเช่าซื้อสูญหายในระหว่างการเช่าซื้อ ให้ถือว่าสัญญาสิ้นสุดระงับลงจำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ราคารถยนต์ที่ขาดจนครบ และกำหนดให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ประกันภัยต่อบริษัทประกันภัยระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์กรณีที่เกิดสูญหาย จำเลยที่ 2 ตกลงเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อได้เพียง 2 งวด เป็นเงิน 5,460 บาท ครั้นถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2519รถถูกโจรกรรมไป บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2520 เป็นเงิน55,390 บาทจำเลยที่ 1 ยังคงต้องรับผิดใช้ค่ารถยนต์ที่ยังขาดอยู่อีก 21,050 บาท โจทก์ทวงถามจากจำเลยทั้งสองให้ชำระเงินดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉยโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยสำหรับเงินดังกล่าว ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกสัญญา วันที่ 16 พฤศจิกายน 2519 คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน10,525 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 31,575 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 21,050 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทราคาเงินสด 81,900บาท เมื่อจำเลยที่ 1 ขอเช่าซื้อ โจทก์คิดดอกเบี้ยสำหรับเวลา 30เดือนรวมแล้วเป็นเงิน 102,900 บาท จำเลยชำระเงินล่วงหน้า 21,000บาท ที่เหลือผ่อนชำระ 30 งวด เมื่อรถยนต์ถูกลักไปวันที่ 16พฤศจิกายน 2519 สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในกำหนดเวลา 30 เดือนอีก ต้องคิดราคาเงินสดเมื่อนำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระแล้วรวมกับที่ผู้รับประกันภัยจ่ายเป็นเงินทั้งสิ้น 81,850 บาท ราคารถยนต์ที่แท้จริงคงขาดอีก 50บาท เท่านั้น อย่างไรก็ตาม โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่าซื้อยังค้างอีก 21,050 บาท ต้องฟ้องภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันเลิกสัญญา ฟ้องโจทก์ย่อมขาดอายุความ รวมถึงดอกเบี้ยด้วยซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเกินกว่า 5 ปี ขอให้พิพากษายกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 21,050 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2519 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 21,050 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีโดยดอกเบี้ยก่อนฟ้องคำนวณย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคารถยนต์คันพิพาทที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปจากโจทก์แล้วสูญหายตามสัญญาเช่าซื้อ เป็นเงิน 21,050 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 10,525 บาท รวมเป็นเงิน 31,575 บาทจำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาท ราคาเงินสดเพียง 81,900 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ย 30 เดือนล่วงหน้าไปรวมราคารถยนต์คันพิพาทรวมเป็นเงิน 102,900 บาท รถยนต์คันพิพาทสูญหาย โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยล่วงหน้า 30 เดือนอีก คงมีสิทธิเรียกร้องค่ารถยนต์คันพิพาท 80,900 บาทเท่านั้น บริษัทรับประกันภัยจ่ายค่ารถยนต์คันพิพาทแก่โจทก์ 55,390 บาทและจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์แล้ว 26,460 บาท รวมเป็นเงิน81,850 บาทคงขาดราคารถยนต์คันพิพาทอีกเพียง 50 บาท ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างอีก 21,050 บาทซึ่งคดีขาดอายุความแล้ว ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ฟ้องเรียกราคารถยนต์คันพิพาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคารถยนต์คันพิพาท 21,050 บาท พร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2519ซึ่งเป็นวันที่รถยนต์คันพิพาทสูญหายและเป็นวันที่สัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทระงับสิ้นสุดลงจนกว่าชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะดอกเบี้ยก่อนฟ้องให้คำนวณย้อนหลังให้เพียงไม่เกิน 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้นประเด็นข้อพิพาทที่ว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยทั้งสอง 21,050 บาท เป็นการฟ้องให้ใช้ราคารถยนต์คันพิพาทตามโจทก์ฟ้องหรือฟ้องให้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างดังที่จำเลยที่ 1 ให้การ จึงต้องถือว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นว่าโจทก์ฟ้องเรียกราคารถยนต์คันพิพาท เพียงแต่พิพากษาแก้เฉพาะดอกเบี้ยก่อนฟ้อง ให้คำนวณย้อนหลังได้ไม่เกิน 5 ปี ดังนี้ ย่อมเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประเด็นดังกล่าว ตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลฎีกาชอบที่จะฟังข้อเท็จจริงตามที่พยานโจทก์เบิกความว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงิน 21,050 บาทนั้น เป็นการฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระจากจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเรียกร้องภายใน 2 ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(6) แม้ข้ออ้างในฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 ที่ว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1.

Share