คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4018/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 นำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้เบิกเงินจากธนาคารผู้เสียหายจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265,341 การที่จำเลยที่ 1 นำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้เบิกเงินจากธนาคารจนได้รับเงินจากธนาคารแล้ว ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหายไม่ใช่ผู้ถือบัตรเครดิตที่ถูกปลอมลายมือชื่อเป็นผู้เสียหาย ปัญหานี้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ จำเลยที่ 1 ได้ร่วมมือกับบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตปลอมมาใช้กับเครื่องรูดใบบันทึกรายการขายของจำเลยที่ 1 โดยกระทำหลายครั้งในชื่อของผู้ถือบัตรเครดิตถึง 8 คน เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 อันนับเป็นคุณมากแล้วกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดโดยร่วมกันปลอมใบบันทึกรายการขาย (แผ่นเซลสลิป) ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชนเกษมซึ่งเป็นเอกสารสิทธิขึ้นทั้งฉบับ โดยนำแบบพิมพ์ใบบันทึกรายการขายของธนาคารดังกล่าวซึ่งเป็นแบบพิมพ์แท้จริงที่ธนาคารมอบไว้กับจำเลยที่ 1 มากรอกข้อความว่านายรณชัย ถาวรวัตร นายทองอินทร์ แสงงาม นายประคอง ทรัพย์อยู่ นายชัยรัตน์โนนใหม่ นายเฉลิมพงษ์ เชื้อไทย นางอุดมสิน สุขสุมิตร นายสิทธิสิงห์ มงคลชาติและนายเลอสรวง เมฆสุต ซึ่งเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของธนาคาร ได้มารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านเก้าหยกของจำเลยที่ 1 โดยชำระราคาด้วยบัตรเครดิตแล้วลงลายมือชื่อปลอมของนายรณชัย นายทองอินทร์ นายประคอง นายชัยรัตน์นายเฉลิมพงษ์ นางอุดมสิน นายสิทธิสิงห์และนายเลอสรวง ในช่องลายมือชื่อผู้ถือบัตรเพื่อแสดงว่านายรณชัยกับพวกดังกล่าวได้มารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านเก้าหยกอันเป็นการกรอกข้อความและลงลายมือชื่ออันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารอันแท้จริง ความจริงแล้วนายรณชัยกับพวกไม่ได้รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้านเก้าหยกและไม่ได้ทำเอกสารสิทธิดังกล่าว การกระทำดังกล่าวเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายรณชัยกับพวกธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ผู้อื่นและประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้อง โดยมีเจตนาทุจริตร่วมกันหลอกลวงนายเสริมศักดิ์ แสวงทรัพย์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชนเกษม ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความอันเป็นจริงอันควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความลงในใบบันทึกรายการขายตามหน้าที่และนายประคองกับพวกได้ลงลายมือชื่อในใบบันทึกรายการขายซึ่งเป็นความเท็จ แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันกล่าวอ้างใช้เอกสารสิทธิใบบันทึกรายการขายที่ปลอมขึ้นมาแสดงต่อนายเสริมศักดิ์เพื่อให้หลงเชื่อว่าข้อความเท็จเป็นความจริงและเอกสารสิทธิปลอมเป็นเอกสารที่แท้จริง ความจริงแล้วใบบันทึกรายการขายเป็นเอกสารสิทธิปลอม และนายประคองกับพวกไม่เคยมารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านจำเลยที่ 1 และไม่ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้ซื้อสินค้าการกระทำของจำเลยทั้งสองน่าจะเกิดความเสียหายต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายเสริมศักดิ์ ผู้อื่นและประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้อง จากการหลอกลวงทำให้นายเสริมศักดิ์หลงเชื่อและจำเลยทั้งสองได้รับเงินจำนวนดังกล่าวข้างต้นไปจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชนเกษม เจ้าพนักงานยึดเครื่องรูดบัตรของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชนเกษม เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264,265, 268, 341 และคืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ของกลางคืนเจ้าของ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปีลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานใช้เอกสารปลอมและฉ้อโกงหรือไม่โจทก์มีนายเสริมศักดิ์ แสวงทรัพย์ ซึ่งทำงานกับผู้เสียหายนางอุดมสิน สุขสุมิตร นายสิทธิสิงห์ มงคลชาติ นายเลอสรวง เมฆสุต นายรณชัย ถาวรรัตน์ นายทองอินทร์ แสงงาม นายประคอง ทรัพย์อยู่ นายชัยรัตน์ โนนใหม่ และนายเฉลิมพงษ์ เชื้อไทย สมาชิกผู้ถือบัตรเครดิตของผู้เสียหาย ต่างเบิกความทำนองเดียวกันว่า ใบบันทึกรายการขายตามเอกสารหมาย จ.5 จ.7 จ.9 จ.11 จ.13 จ.15 จ.17 และ จ.19 เป็นเอกสารปลอมเพราะผู้ถือบัตรเครดิตทั้งแปดดังกล่าวไม่เคยไปสั่งซื้ออาหารหรือใช้บริการที่ร้านเก้าหยกและไม่เคยลงลายมือชื่อในใบบันทึกรายการขายดังกล่าว นอกจากนั้นโจทก์ยังมพันตำรวจโทเริง งามเนียม ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เอกสาร กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ และขึ้นทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงยุติธรรมเบิกความว่าได้ตรวจพิสูจน์ใบบันทึกรายการขายดังกล่าวกับตัวอย่างลายมือชื่อของผู้ถือบัตรเครดิตทั้งแปดคนตามเอกสารหมาย จ.6 จ.8 จ.10 จ.12 จ.14 จ.16 จ.18 และ จ.20 แล้ว มีความเห็นว่า ลายมือชื่อในใบบันทึกรายการขายไม่เหมือนกับตัวอย่างลายมือชื่อของผู้ถือบัตรดังกล่าว จึงลงความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน และร่องรอยการรูดจากบัตรเครดิตไม่ได้มาจากบัตรเครดิตของจริงตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ซึ่งเมื่อฟังประกอบกับคำเบิกความของผู้ถือบัตรเครดิตทั้งแปดแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าใบบันทึกรายการขายดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิปลอม และข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 นำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้เบิกเงินจากผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงพยานหลักฐานของโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร จึงมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคง หาใช่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ไม่ใช่ผู้เสียหายนั้นเห็นว่าการที่จำเลยที่ 1นำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้เบิกเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จนได้รับเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แล้วต่อมาภายหลังปรากฏว่าใบบันทึกรายการขายที่จำเลยที่ 1 นำไปเบิกเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ปลอม ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จึงเป็นผู้เสียหายไม่ใช่ผู้ถือบัตรเครดิตที่ถูกปลอมลายมือชื่อเป็นผู้เสียหายตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาแต่อย่างใด ตามปัญหานี้แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 ผู้ฎีกายกขึ้นอ้างได้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการสุดท้ายว่า สมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมมือกับบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตปลอมมาใช้กับเครื่องรูดใบบันทึกรายการขายของจำเลยที่ 1 และเป็นการกระทำหลายครั้งในชื่อของผู้ถือบัตรเครดิตถึง 8 คน อีกทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3ได้ลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 นับเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 มากแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share