แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินส่วนที่ขาดจากจำเลยตามบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน หาได้ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องในทรัพย์ที่ส่งมอบตามสัญญาซื้อขายซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 474 ไม่ และกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วน มีค่าตอบแทนในที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 3 ระวาง 123/19 อ. หน้าสำรวจ 2 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร โดยจำเลยยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของจำเลยจำนวน 1,200 ตารางวา หรือในส่วนสองพันเก้าร้อยสิบเศษเจ็ดส่วนเก้าส่วนในที่ดินดังกล่าว เจ้าพนักงานได้จดทะเบียนบันทึกข้อตกลงไว้ ต่อมาโจทก์และจำเลยกับบุคคลอื่น ๆได้ยื่นคำร้องขอทำการรังวัดแบ่งแยกและแก้ไขเพิ่มเติมคำขอรังวัดแบ่งแยกเพื่อขอออกโฉนดให้แก่โจทก์โดยมีเจตนาให้โจทก์ได้รับจำนวนเนื้อที่ตามที่ได้จดทะเบียนบันทึกข้อตกลงกันไว้ ปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวเมื่อแบ่งแยกแล้วได้ออกเป็นโฉนดและมีจำนวนเนื้อที่ดังนี้ ที่ดินโฉนดเลขที่ 57577 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 3 งาน ห้าสิบห้าเศษแปดส่วนสิบตารางวาที่ดินโฉนดเลขที่ 57578 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครเนื้อที่ 3 งาน ห้าสิบห้าเศษสามส่วนสิบตารางวา รวมจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์ได้รับหลังจากแบ่งแยกแล้วจำนวนเจ็ดร้อยสิบเอ็ดเศษหนึ่งส่วนสิบตารางวา หรือส่วนน้อยกว่าจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์และจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงไว้จำนวนสี่ร้อยแปดสิบแปดเศษเก้าส่วนสิบตารางวาหรือส่วน เมื่อวันที่ 21สิงหาคม 2524 โจทก์ได้รับโฉนดจากเจ้าพนักงานที่ดิน จึงเพิ่งทราบว่าที่ที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามบันทึกข้อตกลงได้ขาดหายไปสี่ร้อยแปดสิบแปดเศษแปดส่วนสิบตารางวาหรือส่วน ขอให้บังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 3 ระวาง12 ต/19 อ. หน้าสำรวจ 2 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร อีกจำนวน สี่ร้อยแปดสิบแปดเศษเก้าส่วนสิบตารางวาให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถจดทะเบียนโอนได้ก็ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 260,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์กับจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดตราจองตามฟ้องก่อนที่จะมีการแบ่งแยก และโจทก์ได้เซ็นชื่อให้ความยินยอมให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนด และทำการตัดถนนทำซอยเข้าไปสู่พื้นที่ดินดังกล่าว ส่วนที่ทำเป็นถนนและซอยนี้ โจทก์ได้เซ็นชื่อยินยอมให้ทำที่สำนักงานที่ดินแล้ว และส่วนที่ขาดไปนั้นคือส่วนที่ทำเป็นถนนและซอยเข้าไปในบริเวณเนื้อที่ดินของโจทก์นั่นเอง เท่ากับว่าโจทก์ยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นและโจทก์ย่อมได้รับประโยชน์อยู่แล้วคือทำให้ราคาที่ดินของโจทก์สูงขึ้น ราคาที่ดินที่โจทก์ฟ้องเรียกมานั้นสูงเกินความจริง ราคาที่ดินที่ซื้อขายกันไม่เกินตารางวาละ 300-400 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474 เพราะฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่วันทราบถึงเหตุชำรุดบกพร่องและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้แก่โจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อแรกและฟังว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในส่วนที่ขาดจำนวนนั้นได้
ปัญหาข้อสุดท้าย ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกที่ดินส่วนที่ขาดจากจำเลยตามบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน หาได้ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องในทรัพย์ที่ส่งมอบตามสัญญาซื้อขายซึ่งมีอายุความ1 ปี นับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474 ไม่ และกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 10 ปี ดังนั้นฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ขาดอายุความส่วนที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 467 ซึ่งมีอายุความ 1 ปีนับแต่เวลาส่งมอบนั้น จำเลยมิได้ต่อสู้ในข้อนี้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.