คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5189/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายกับภรรยาซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยทะเลาะกันอยู่ในห้องนอนและมีเสียงร้องดัง จำเลยจึงเปิดประตูห้องเข้าไปดูเพื่อระงับเหตุเห็นผู้ตายกำลังนั่งคร่อมทับเอามือจับที่คอภรรยาอยู่ จำเลยเดินเข้าไปกระชากไหล่ผู้ตายออกจากภรรยา ผู้ตายลุกขึ้นชกจำเลย 1 ทีแต่จำเลยหลบทัน แล้วจำเลยคว้าอาวุธปืนลูกซองยาวซึ่งอยู่ในห้องนอนนั้นยิงผู้ตายไป 1 นัด ถึงแก่ความตาย ดังนี้ การที่จำเลยเข้าไประงับเหตุระหว่างผู้ตายกับภรรยา แต่กลับถูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรเขยชกทำร้ายเอานั้น นับได้ว่าผู้ตายได้กระทำการอันไม่สมควรและโดยปราศจากความเคารพยำเกรงต่อจำเลยผู้เป็นพ่อตาซึ่งมีอายุมากแล้ว เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงและด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยิง พ.ต.ต.อนุกูลตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ศาลอนุญาตให้นายบุญธรรม บิดาผู้ตายเข้าเป็นโจทก์ร่วม จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามมาตรา 288, 72 จำคุก 6 ปี ลดโทษหนึ่งในสามจำคุก 4 ปี โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 288 จำคุก 15 ปี ลดโทษหนึ่งในสามจำคุก 10 ปี โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “รูปเรื่องและข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าเมื่อจำเลยเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของผู้ตายและนางนฤมลแล้วจำเลยเห็นผู้ตายกำลังนั่งคร่อมนางนฤมลและใช้มือจับที่คอของนางนฤมลอยู่ จำเลยจึงเดินเข้าไปกระชากไหล่ผู้ตายออกจากนางนฤมลผู้ตายจึงลุกขึ้นชกจำเลย 1 ที แต่จำเลยหลบเสียทันจึงไม่ถูกหมัดผู้ตาย หลังจากนั้นจำเลยจึงได้คว้าอาวุธปืนลูกซองยาวซึ่งอยู่ในห้องของผู้ตาย ยิงผู้ตาย 1 นัด ถูกที่บริเวณหน้าอกถึงแก่ความตายแล้วจำเลยออกจากห้องและเปิดประตูไว้ไปยืนรอเจ้าพนักงานตำรวจอยู่ที่หน้าบ้าน ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นแรกจำเลยกระทำไปโดยตั้งใจเพื่อจะระงับเหตุ ซึ่งผู้ตายและนางนฤมลได้ก่อขึ้น ครั้นเมื่อจำเลยแยกผู้ตายออกจากนางนฤมลได้แล้วกลับถูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรเขยชกทำร้ายเอานั้น นับได้ว่าผู้ตายได้กระทำการอันไม่สมควรและโดยปราศจากความเคารพยำเกรงต่อจำเลยผู้เป็นพ่อตาซึ่งมีอายุมากแล้ว อันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจึงใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตาย 1 นัด ถูกที่บริเวณหน้าอกของผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะนั้น จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 72 ส่วนที่จำเลยอ้างว่าอาวุธปืนลั่นไปถูกผู้ตายโดยจำเลยไม่ได้ยิงนั้นไม่น่าเชื่อถือ เพราะขัดกับคำให้การของจำเลยที่ได้ให้การรับสารภาพไว้ในชั้นสอบสวนดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่อาจที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share