คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5434/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีหน้าที่พิจารณาเพียงว่า มีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่เท่านั้นการที่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์จึงไม่จำต้องรับรองและมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องทั้งสามจึงเป็นการสั่งคดีในส่วนของผู้ร้องที่ 1 และที่ 3โดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดี ถือไม่ได้ว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 3824 ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว
ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอให้สั่งว่าผู้ร้องทั้งสามไม่ใช่บริวารของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิขับไล่ผู้ร้องทั้งสามออกจากที่พิพาทและสั่งห้ามโจทก์และจำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาท
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสามเข้ามาอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ที่พิพาทสำหรับคดีในส่วนของผู้ร้องที่ 1 และที 3 ที่อ้างมาในคำร้องว่าเป็นของตนนั้นมีราคาไม่เกิน 50,000 บาท และอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 1 และที่ 3เป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ดังนี้ คดีในส่วนของผู้ร้องที่ 1และที่ 3 มีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเว้นแต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้ทำ ความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 14 อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ ผู้ร้องที่ 1และที่ 3 จึงยื่นคำร้องร่วมกับผู้ร้องที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีรับรองว่าคดีผู้ร้องทั้งสามมีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามคำร้องลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2535 ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “คดีนี้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่จำต้องรับรอง” และมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องทั้งสามคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกา สำหรับคดีในส่วนของผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 ก่อนว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว ถือได้ว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งว่าคดีผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 มีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท และต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่าคดีผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 มีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีหน้าที่พิจารณาเพียงว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่เท่านั้น การที่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่จำต้องรับรองและมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องทั้งสาม จึงเป็นการสั่งคดีในส่วนของผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 โดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดี ถือไม่ได้ว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งแล้ว”
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 และเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า “คดีนี้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่จำต้องรับรอง” และให้ยกคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 เสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องลงวันที่10 กรกฎาคม 2535 ว่าจะรับรองหรือไม่แล้วดำเนินการต่อไป ให้ยกฎีกาของผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share