แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีที่นาย ส. ทายาทคนหนึ่งฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินมรดกพิพาท โจทก์มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีด้วย คดีดังกล่าวคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยตกลงแบ่งที่ดินพิพาทให้นาย ส.นางก.นายก.และนางส. คนละหนึ่งในสิบ โดยนาย ส. ไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลยอีก ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2528ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวไม่มีกรณีที่จะถือได้ว่านาย ส. ได้ฟ้องคดีเพื่อประโยชน์ของโจทก์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งด้วยแต่ประการใด แม้ในคำฟ้องชั้นต้นจะเริ่มเรื่องเป็นการใช้สิทธิแทนทายาททั้งหมดในการเรียกทรัพย์มรดกคืนมา แต่เมื่อนาย ส. สละข้ออ้างในส่วนที่เป็นการเรียกร้องแทนทายาทตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความเสียแล้ว กรณีที่จะถือว่าเป็นการ ใช้สิทธิแทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วยจึงเป็นอันหมดไปในผลของคดี ที่ฟ้องการฟ้องคดีของนาย ส. จึงเป็นการใช้สิทธิเฉพาะตัวมิใช่เป็นการฟ้องคดีเพื่อสิทธิของทายาทซึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย คดีที่นาย ส.ฟ้องจึงไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์สะดุดหยุดอยู่ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 175 นาย จ. เจ้ามรดกตายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2525 นาง ล. ผู้จัดการมรดกของนาย จ.โอนที่ดินที่พิพาทให้จำเลยเพียงผู้เดียว โจทก์ทราบเรื่องเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์มาฟ้องเรียกส่วนแบ่งมรดกคือที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2529 จึงเป็นการฟ้องคดีเกินกำหนด 1 ปี นับแต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเอามรดกส่วนของตนจากทรัพย์มรดกที่จำเลยรับโอนมาในฐานะทายาท คดีของโจทก์ จึงขาดอายุความมรดกตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1754 และกรณีตามคำฟ้องของโจทก์ก็มิใช่เป็นกรณีที่ฟ้องเอาส่วนแบ่งจากผู้จัดการมรดก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายจันกับนางละ เปลี่ยนศรี มีบุตรด้วยกัน 9 คนรวมทั้งโจทก์และจำเลย เมื่อนายจันถึงแก่กรรม ทรัพย์มรดกคือที่ดินโฉนดเลขที่ 2894 ตั้งอยู่ที่ตำบลบางเกลือ อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ย่อมตกทอดแก่ทายาท ซึ่งนางละได้เป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2526 นางละได้เบียดบังโอนทรัพย์มรดกข้างต้นให้แก่จำเลย นายสมปอง เปลี่ยนศรี จึงได้ยื่นฟ้องนางละและจำเลยขอแบ่งทรัพย์ดังกล่าว ครั้นวันที่ 9 สิงหาคม 2528จำเลยตกลงยอมแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทคนละ 1 ใน 10 ส่วน รวมทั้งของนางละ 1 ส่วนด้วย โดยจำเลยนัดโอนที่ดินในวันที่ 20 สิงหาคม2528 แต่ภายหลังจำเลยเพิกเฉย ซึ่งโจทก์เพิ่งทราบถึงสิทธิในส่วนแบ่งมรดกรายนี้เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2528 โดยจำเลยยอมรับว่ารับที่ดินของโจทก์ไว้ในฐานะลาภมิควรได้ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินตามคำฟ้องให้โจทก์ 1 ใน 10 ส่วน เรียงถัดกันไปในแนวเดียวกันหากจำเลยไม่แบ่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์มรดกและเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้เกินกว่า 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย และนับแต่โจทก์ทราบว่านางละได้โอนทรัพย์มรดกให้แก่จำเลย คดีโจทก์จึงขาดอายุความ นอกจากนี้จำเลยเพียงผู้เดียวเป็นผู้จัดการศพสิ้นเงินจำนวน 70,000 บาท และยังได้ชำระหนี้แทนเจ้ามรดกอีก60,000 บาท อันเป็นจำนวนเงินเกินกว่าทรัพย์มรดก จึงไม่มีทรัพย์มรดกที่จะแบ่งแก่ทายาทอย่างใด ส่วนที่จำเลยสัญญาจะแบ่งที่ดินให้แก่นางกุลเพ็ญ เปลี่ยนศรี กับพวกนั้น เป็นการให้โดยเสน่หา โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำเลยต้องโอนมรดกรายนี้ให้แก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องมรดก ไม่ใช่เรื่องลาภมิควรได้ ทายาทที่ฟ้องคดีฟ้องแทนทายาททุกคน ทั้งกรณีถือได้ว่าทรัพย์มรดกอยู่ในระหว่างจัดการ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ นอกจากนี้ข้อเท็จจริงไม่เชื่อว่าเจ้ามรดกเป็นหนี้และจำเลยได้ใช้หนี้แทนและจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการทำศพเจ้ามรดกดังที่จำเลยกล่าวอ้าง พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 2894 ตั้งอยู่ตำบลบางเกลือ อำเภอบางปะกงจังหวัดฉะเชิงเทราให้โจทก์ 1 ใน 10 ส่วน เท่ากับส่วนของนางกุลเพ็ญ เปลี่ยนศรี และทายาทอื่นที่ได้รับส่วนแบ่งกันไปแล้วโดยให้ที่ดินเรียงถัดกันไปในแนวทางเดียวกันกับทุกคนนั้น หากจำเลยไม่แบ่งให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาในการยอมแบ่งของจำเลยที่ให้โจทก์จดทะเบียนและจัดการแบ่งที่ดินไปฝ่ายเดียวได้จนเสร็จสิ้นเป็นที่ดินอีกส่วนหนึ่งแยกจากที่ดินจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยในประเด็นเรื่องอายุความมรดกก่อน ในคดีที่นายสมปอง เปลี่ยนศรีทายาทคนหนึ่งฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินมรดกที่พิพาทนั้น โจทก์มิได้เข้าไปเป็นคู่ความในคดีด้วยและตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยตกลงแบ่งที่ดินที่พิพาทให้นายสมปอง เปลี่ยนศรีนางกุลเพ็ญ เปลี่ยนศรี นายกุมพล เปลี่ยนศรี และนางสำเภา คนตรงคนละ 1 ใน 10 ส่วน โดยนายสมปองไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลยอีกศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 9สิงหาคม 2528 เห็นว่า ตามผลของสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวนั้น ไม่มีกรณีที่จะถือได้ว่า นายสมปองได้ฟ้องคดีเพื่อประโยชน์ของโจทก์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งด้วยแต่ประการใด แม้ว่าในคำฟ้องชั้นต้นจะเริ่มเรื่องเป็นการใช้สิทธิแทนทายาททั้งหมดในการเรียกทรัพย์มรดกคืนมา แต่เมื่อนายสมปองสละข้ออ้างในส่วนที่เป็นการเรียกร้องแทนทายาทตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความเสียแล้ว กรณีที่จะถือว่าเป็นการใช้สิทธิแทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วยจึงเป็นอันหมดไปในผลของคดีที่ฟ้องดังนั้นการฟ้องคดีของนายสมปองดังกล่าวจึงเป็นการใช้สิทธิเฉพาะตัวมิใช่เป็นการฟ้องคดีเพื่อสิทธิของทายาทซึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วยคดีที่นายสมปองฟ้องจึงไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์สะดุดหยุดอยู่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 175นายจันเจ้ามรดกตายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2525 นางละผู้จัดการมรดกของนายจันโอนที่ดินที่พิพาทให้จำเลยเพียงผู้เดียว โจทก์ทราบเรื่องเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์มาฟ้องเรียกส่วนแบ่งมรดกคือที่ดินที่พิพาทจากจำเลยเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2529 จึงเป็นการฟ้องคดีเมื่อเกินกำหนด 1 ปี นับแต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเอามรดกส่วนของตนจากทรัพย์มรดกที่จำเลยรับโอนมาในฐานะทายาท คดีของโจทก์จึงขาดอายุความมรดกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 และกรณีตามคำฟ้องของโจทก์นั้น ก็มิใช่เป็นกรณีที่ฟ้องเอาส่วนแบ่งจากผู้จัดการมรดกเมื่อประเด็นข้อนี้มีผลดังกล่าวแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นตามฎีกาของจำเลยอีก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.