คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ส่งสำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคของโจทก์ต่อศาล แต่จำเลยมิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาเอกสารดังกล่าว ถือว่าจำเลยยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้วศาลรับฟังได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 โจทก์ฟ้องคดีนี้โดย ว. ผู้ว่าการของโจทก์มอบอำนาจให้ ส. ดำเนินคดีแทน การที่โจทก์นำสืบว่าว. เป็นผู้ว่าการของโจทก์ตามสำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้ว่าการและโจทก์โดย ว.ทำหนังสือมอบอำนาจให้ส. ดำเนินคดีแทน ตามหนังสือมอบอำนาจที่ส่งต่อศาล ย่อมแสดงว่า ว. เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์อยู่ในตัวเพราะการดำเนินกิจการของนิติบุคคลย่อมปรากฏจากผู้แทนของนิติบุคคลการที่ศาลอุทธรณ์นำมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 ที่บัญญัติให้ผู้ว่าการทำการแทนโจทก์มากล่าวเป็นเพียงระบุให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น มิใช่รับฟังข้อเท็จจริงนอกจากที่โจทก์นำสืบ โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์ไปถึงหน่วยเลขที่ 5636 แต่จำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าเพียงหน่วยเลขที่ 3717จึงขาดอยู่อีก 1919 หน่วย เป็นเงิน 2,965.43 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับแล้ว และโจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าเมื่อเดือนเมษายน 2526 โจทก์ได้ตรวจพบว่า จ. พนักงานของโจทก์ละทิ้งหน้าที่ไม่ไปจดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าของลูกค้าซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วย โจทก์ได้ส่งพนักงานคนใหม่ไปจดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าที่เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าบ้านจำเลย จึงพบว่าจำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าขาดไป อันเป็นการแสดงถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนการที่จำเลยค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าตั้งแต่เมื่อใดเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าอยู่ที่หน่วยใด จำเลยค้างชำระเดือนละเท่าใดคิดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าอย่างใด เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ดำเนินกิจการตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพ.ศ. 2503 มีวัตถุประสงค์ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชนอันมีลักษณะเป็นการสาธารณูปโภค จึงมิได้เป็นพ่อค้าตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) การฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้า เมื่อมิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 โจทก์โดยนายวีระ ปิตรชาติ ผู้ว่าการมอบอำนาจให้นายสันติ สุทธิพันธ์ ดำเนินคดีแทน เมื่อประมาณพ.ศ. 2521 จำเลยได้ตกลงซื้อและใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์ที่การไฟฟ้าอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี กำหนดชำระค่ากระแสไฟฟ้าทุกเดือนตามจำนวนหน่วยจากเครื่องวัดกระแสไฟฟ้า แล้วนำมาคำนวณตามอัตราค่ากระแสไฟฟ้าที่โจทก์กำหนด เมื่อเดือนเมษายน 2526 โจทก์ได้ตรวจพบว่านายจรัญ ปานสุวรรณ พนักงานของโจทก์ ไม่จดหน่วยกระแสไฟฟ้าตามความเป็นจริงแต่ใช้วิธีคาดคะเนเอา โดยกระทำมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2523 ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2526 โจทก์ได้ให้พนักงานคนใหม่ไปจดหน่วยแทน ปรากฏว่าจำเลยใช้กระแสไฟฟ้าถึงหน่วยเลขที่ 5,636แต่จำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าให้โจทก์ถึงหน่วยเลขที่ 3,717 ยังค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าอยู่อีก 1,919 หน่วย หน่วยละ 1,5453 บาทรวมเป็นเงินจำนวน 2,965.43 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,965.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคล นายวีระปิตรชาติ ไม่มีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์ และลายมือชื่อผู้มอบอำนาจให้นายสันติ สุทธิพันธ์ ฟ้องคดีแทน มิใช่ลายมือชื่อของนายวีระโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องให้ชัดเจนว่า โจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันอย่างใด เมื่อใดมีวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับค่าใช้กระแสไฟฟ้าหรือลดค่ากระแสไฟฟ้าอย่างใดและหากเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าเกิดความคลาดเคลื่อน โจทก์สามารถเพิ่มหรือลดค่ากระแสไฟฟ้าได้ตามอำนาจโจทก์แต่ฝ่ายเดียว จำเลยเริ่มค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าโจทก์ตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด เดือนละเท่าใด เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องคดีเกิน 2 ปี คดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้นำสืบว่าผู้ว่าการของโจทก์เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์นำเอามาตรา 30 แห่ง พระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503มาวินิจฉัยว่า ผู้ว่าการของโจทก์มีอำนาจทำการแทนโจทก์จึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกจากที่นำสืบ และหนังสือแต่งตั้งผู้ว่าการของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นสำเนาเอกสาร รับฟังเป็นพยานหลักฐานมิได้ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า แม้เอกสารหมาย จ.1จะเป็นสำเนาเอกสารก็ตาม เมื่อโจทก์ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลจำเลยก็มิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารนั้นแต่ประการใดถือว่าจำเลยยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว ศาลรับฟังเอกสารหมาย จ.1 ได้ และโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยนายวีระ ปิตรชาติ ผู้ว่าการของโจทก์มอบอำนาจให้นายสันติสุทธิพันธ์ ดำเนินคดีแทน การที่โจทก์นำสืบว่านายวีระเป็นผู้ว่าการของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ดังกล่าวแล้ว และโจทก์โดยนายวีระทำหนังสือมอบอำนาจให้นายสันติดำเนินคดีแทน ตามเอกสารหมาย จ.2 ย่อมแสดงว่า นายวีระเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์อยู่ในตัว เพราะการดำเนินกิจการของนิติบุคคลย่อมปรากฏจากผู้แทนของนิติบุคคล การที่ศาลอุทธรณ์นำมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 ที่บัญญัติให้ผู้ว่าการทำการแทนโจทก์มากล่าวเป็นเพียงระบุให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น หาใช่รับฟังข้อเท็จจริงนอกจากที่โจทก์นำสืบไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาประการที่สองว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้นโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้กระแสไฟฟ้าของโจทก์ไปถึงหน่วยเลขที่ 5636 แต่จำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าเพียงหน่วยเลขที่ 3717จึงขาดอยู่อีก 1919 หน่วย เป็นเงิน 2,965.43 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย อันเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับแล้ว และโจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าเมื่อเดือนเมษายน 2526 โจทก์ได้ตรวจพบว่านายจรัล ปานสุวรรณพนักงานของโจทก์ละทิ้งหน้าที่ไม่ไปจดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าของลูกค้าในเขตอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี ซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วยโจทก์ได้ส่งพนักงานคนใหม่ไปจดหน่วยการใช้กระแสไฟฟ้าที่เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าบ้านจำเลย จึงพบว่าจำเลยชำระค่ากระแสไฟฟ้าขาดไป อันเป็นการแสดงถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วส่วนการที่จำเลยค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าตั้งแต่เมื่อใด เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าอยู่ที่หน่วยใด จำเลยค้างชำระเดือนละเท่าใด คิดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าอย่างใด เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาประการที่สามว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) เห็นว่า โจทก์ดำเนินกิจการตามพระราชบัญญัติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 มีวัตถุประสงค์ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชน อันมีลักษณะเป็นการสาธารณูปโภคจึงมิได้เป็นพ่อค้าตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) การฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้าดังกล่าวเมื่อมิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้าที่ค้างชำระตั้งแต่เดือนกันยายน 2523 ถึงเดือนเมษายน2526 โดยฟ้องเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2532 คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า แม้คดีนี้จะมีทุนทรัพย์ไม่เกิน20,000 บาท อันต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงก็ตาม แต่คดีนี้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาได้รับรองให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงคลาดเคลื่อนขอศาลฎีกาได้โปรดวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้จำเลยด้วยนั้น เห็นว่าคดีนี้นายชัยวัฒน์ คำสวัสดิ์ ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นได้รับรองว่าคดีนี้มีเหตุอันควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ปรากฏตามคำร้องลงวันที่ 6 สิงหาคม 2533 แล้ว คดีนี้จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าต่อโจทก์หรือไม่ จึงไม่ชอบ เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นนี้ก่อน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าจำเลยค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าต่อโจทก์หรือไม่ แล้วให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share