คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยรู้อยู่ว่าห้องอาหารที่อยู่ในโรงแรมนั้น นอกจากขายอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังจัดให้มีการค้าประเวณีด้วย จำเลย ได้แนะนำชี้ชวนผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้ไปทำงานใน ตำแหน่งรีเซฟชั่นหรือพนักงานต้อนรับและพนักงานเสิร์ฟ ที่ห้องอาหาร ดังกล่าวร่วมกับนาย ก. และนาง ท. จึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิด ฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91,282, 283 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 5 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 8, 73 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา จำเลยขอถอนคำให้การเดิม โดยขอให้การรับสารภาพในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน ส่วนข้อหาอื่นคงให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 8 วรรคแรก ลงโทษตามมาตรา 73จำคุก 2 ปี จำเลยรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก และวรรคสอง ลงโทษตามมาตรา283 วรรคแรก จำคุก 7 ปี ลงโทษตามมาตรา 283 วรรคสอง รวม 2 กระทงกระทงละ 7 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 22 ปี ริบของกลาง นอกนั้นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยได้ประกอบธุรกิจจัดหางานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน ใช้ชื่อว่า วลีพรบริการ สำนักงานอยู่บ้านเลขที่3/65 ลาดพร้าว ซอย 31 แขวงลาดยาว เขตบางเขน กรุงเทพมหานครจำเลยได้ประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์วัฐจักรและปิดแผ่นป้ายโฆษณาไว้บริเวณที่จอดรถยนต์โดยสารประจำทางในถนนลาดพร้าวมีข้อความว่ารับสมัครแม่บ้าน คนครัว คนสวน คนขับรถ ดูแลเด็ก ดูแลคนชราเด็กเสิร์ฟ รีเซฟชั่น และคนงานทั่วไป บอกสถานที่ติดต่อที่สำนักงานของจำเลยหรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 5114987 ผู้เสียหายทั้งห้าได้ไปสมัครงานกับจำเลยในตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟ รีเซฟชั่นหรือพนักงานต้อนรับ นายกิมจั๊วหรือกิมจั้ว แซ่โง้ว และนางทองสา โพธิ เป็นคนพาผู้เสียหายทั้งห้าแต่ละคนไปส่งที่โรงแรมพระอินทร์ราชา ซึ่งมีห้องอาหารราชาค่าเฟ่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ตั้งอยู่ที่ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นางพรทิพย์ทองวิไลไพสิฐ เจ้าของกิจการดังกล่าวเป็นผู้รับตัวผู้เสียหายทั้งห้าไว้ ผู้เสียหายทั้งห้าถูกควบคุมอยู่ภายในโรงแรม และถูกบังคับให้ร่วมประเวณีกับชายทั่วไปที่มาที่ห้องอาหารและโรงแรมดังกล่าวต่อมาผู้เสียหายที่ 1 บอกนางพรทิพย์ว่าจะขอกลับบ้านและจะเอาเงินไปไถ่ตัวผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเพื่อนและมาสมัครด้วยกันนางพรทิพย์ยอมให้ผู้เสียหายที่ 1 กลับโดยเอาเงินให้ไป 6,000 บาทเพื่อไถ่ตัวผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ผู้เสียหายที่ 1 กลับมาแล้วได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามวันที่ 15 มกราคม 2531 เจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมจำเลย นายกิมจั๊วและนางทองสาได้ ต่อมาในวันเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจได้วางแผนและเข้าทำการจับกุมนางพรทิพย์ได้ภายในโรงแรมพระอินทร์ราชา พร้อมช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 2 ถึงที่ 5กับพวกรวมทั้งหมด 15 คน ออกมาได้
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า จำเลยกับนายกิมจั๊วและนางทองสา ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งผู้เสียหายที่ 1 หญิงอายุ 18 ปีเศษ และผู้เสียหายที่ 2 กับที่ 4เด็กหญิงอายุ 16 ปีเศษ และ 15 ปีเศษตามลำดับ โดยใช้อุบายหลอกลวงหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ผู้เสียหายที่ 4 ไปที่สำนักงานของจำเลยเพื่อสมัครงาน พบจำเลย สามีจำเลยนายกิมจั๊วและนางทองสา จำเลยบอกว่ามีงานทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟอาหารที่ห้องอาหารราชาคาเฟ่ เงินเดือน 5,000 บาท – 6,000 บาท ผู้เสียหายที่ 4 ตกลง และจ่ายค่าบริการให้จำเลยเป็นเงิน 200 บาท จำเลยบอกให้นายกิมจั๊วพาผู้เสียหายที่ 4 ไปฝากงาน นายกิมจั๊วพาผู้เสียหายที่ 4 ไปพบกับนางพรทิพย์ที่โรงแรมพระอินทร์ราชา นางพรทิพย์ให้เงินนายกิมจั๊ว 500 บาท และให้เงินผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 2,000 บาทเพื่อซื้อเสื้อผ้า ส่วนผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 นั้น ได้ชวนกันไปสมัครงานที่สำนักงานของจำเลยเมื่อต้นเดือนมกราคม 2531 พบจำเลยนายกิมจั๊วและนางทองสากับชายอีกคนหนึ่ง จำเลยบอกว่าถ้าทำงานรีเซฟชั่นจะได้เงินเดือนเดือนละประมาณ 6,000 บาท และเงินพิเศษเดือนละ 10,000 บาท ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 กลับมาปรึกษากันและตกลงใจไปทำงานตามที่จำเลยบอก วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ไปที่สำนักงานของจำเลย พบจำเลย นายกิมจั๊วและนางทองสาจำเลยขอเก็บเงินค่าบริการคนละ 500 บาท ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2บอกว่าไม่มี จำเลยบอกให้ไปเบิกจากที่ทำงานแล้วมอบให้นายกิมจั๊วจากนั้นจำเลยให้นายกิมจั๊วกับนางทองสาพาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2ไปส่ง นายกิมจั๊วกับนางทองสาพาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ไปพบกับนางพรทิพย์ที่โรงแรมพระอินทร์ราชา ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2จะเบิกเงินล่วงหน้าคนละ 500 บาท นางพรทิพย์ให้เบิกล่วงหน้าคนละ2,000 บาท เพื่อซื้อเสื้อผ้าใส่ด้วย ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2มอบเงินค่าบริการให้แก่นายกิมจั๊วคนละ 500 บาท
จำเลยนำสืบว่า เดิมจำเลยมีอาชีพเป็นครูอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ต่อมาปลายปี 2530 จึงมาประกอบธุรกิจจัดหางานโดยดำเนินการเพียงผู้เดียว ในการจัดหางานให้คนหางานนั้นไม่ได้เรียกค่าตอบแทนเมื่อคนหางานได้งานทำแล้วจึงจะนำเงินมาให้แก่จำเลย เฉลี่ยแล้วให้คนละประมาณ 200 บาท จำเลยเรียกค่าตอบแทนจากผู้ต้องการหาคนงานเป็นเงิน 300 บาท ต่อคน ผู้ต้องการคนงานจะเป็นฝ่ายมารับคนงานไปจากจำเลยและไม่ให้ที่อยู่ไว้ คงให้เพียงหมายเลขโทรศัพท์จำเลยจึงไม่ทราบว่าคนหางานจะถูกส่งไปทำงานที่ใด นายกิมจั๊วเคยมาสมัครงานในตำแหน่งคนครัว แต่จำเลยจัดหางานให้ไม่ได้ ต่อมานายกิมจั๊วมาบอกจำเลยว่าพี่สาวต้องการคนงานหญิงไปทำงานบ้าน จำเลยจัดส่งให้นายกิมจั๊วรับไป 2 คน ผู้เสียหายทั้งห้ามาสมัครงานในตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟอาหาร นายกิมจั๊วมาขอรับผู้เสียหายทั้งห้าไปทำงานที่ห้องอาหารราชาคาเฟ่ทีละคนจนครบ จำเลยไม่เคยรู้จักนางพรทิพย์และไม่เคยไปที่ห้องอาหารราชาคาเฟ่ หรือโรงแรมพระอินทร์ราชานายกิมจั๊วและนางทองสาไม่เคยมาพักที่บ้านจำเลย ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยนั้นเป็นช่วงเวลาที่นายกิมจั๊วและนางทองสามาติดต่อเพื่อขอรับคนงานไปทำงานอีก
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยตั้งสำนักงานประกอบธุรกิจจัดหางานมีการลงทุนประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์และจัดทำแผ่นป้ายโฆษณาปิดตามที่ต่าง ๆ ที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้เรียกค่าตอบแทนจากคนหางาน แต่เรียกเอาจากผู้ต้องการหาคนงานเป็นเงิน 300 บาท ต่อคนนั้นไม่สมต่อเหตุผลผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ต่างเบิกความว่าจำเลยเรียกค่าบริการในการหางานคนละ 500 บาท ผู้เสียหายที่ 4 ก็เบิกความว่าจำเลยเรียกค่าบริการในการหางาน 200 บาท ได้จ่ายให้จำเลยไป ผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ต่างเบิกความว่า จำเลยแนะนำให้ทำงานในตำแหน่งรีเซฟชั่นหรือพนักงานต้อนรับ และพนักงานเสิร์ฟจะได้เงินเดือนดีถึงเดือนละ 5,000 – 6,000 บาท และยังมีเงินพิเศษอีกด้วย จำเลยอ้างว่ารู้จักนายกิมจั๊วและนางทองสาภรรยา เพราะนายกิมจั๊วเคยมาสมัครงานในตำแหน่งพ่อครัว แต่จำเลยหางานให้นายกิมจั๊วไม่ได้ต่อมานายกิมจั๊วมาขอรับคนงานไปทำงานบ้านพี่สาวนายกิมจั๊ว 2 คนและเมื่อผู้เสียหายทั้ง 5 มาสมัครงานจำเลยก็จัดส่งให้นายกิมจั๊วและนางทองสานำไปทำงานตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟที่ห้องอาหารราชาคาเฟ่อีกจำเลยเป็นผู้จัดหางานจึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะไม่สอบถามนายกิมจั๊วและนางทองสาว่างานที่นายกิมจั๊วและนางทองสาขอรับคนหางานไปทำนั้นเป็นงานอะไรมีรายได้เท่าใด และทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2จะไม่มีเงินค่าบริการคนละ 500 บาท ให้แก่จำเลย จำเลยก็ยังบอกให้ไปเบิกจากที่ทำงานก่อนแล้วให้มอบให้นายกิมจั๊ว แสดงว่าจำเลยต้องรู้ว่าคนหางานนั้นไปทำงานอะไรมีรายได้เท่าใด จำเลยย่อมต้องเฉลียวใจบ้างว่าเหตุใดนายจ้างจึงให้ค่าจ้างมากถึงเพียงนั้นและทั้งยังยอมจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้ด้วย ตามรูปคดีจึงเชื่อได้ว่าจำเลยรู้อยู่ว่าห้องอาหารราชาคาเฟ่ที่อยู่ในโรงแรมพระอินทร์ราชานั้นนอกจากขายอาหารและเครื่องดื่มแล้วยังจัดให้มีการค้าประเวณีด้วยจำเลยเป็นผู้แนะนำชี้ชวนผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้ไปทำงานในตำแหน่งรีเซฟชั่นหรือพนักงานต้อนรับและพนักงานเสิร์ฟที่ห้องอาหารดังกล่าวร่วมกับนายกิมจั๊วและนางทองสา จึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิดในข้อหานี้ตามที่โจทก์ฟ้องที่จำเลยฎีกาโดยอ้างคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 4 ที่ตอบคำถามค้านทนายจำเลยนั้น เห็นว่าผู้เสียหายที่ 4 ไปสมัครงานกับจำเลยครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน2530 เจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมนางพรทิพย์ และช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกรวมทั้งหมด 15 คน ออกมาได้ในวันที่15 มกราคม 2531 จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เสียหายที่ 4 จะได้เคยไปสมัครงานกับจำเลยก่อนครั้งเกิดเหตุคดีนี้ 5-6 ครั้ง และจำเลยเคยส่งไปทำงานบ้านประมาณ 3 เดือน ทำงานร้านอาหารเขียวหวาน 6 เดือนทำงานบ้านและเลี้ยงเด็กแถวถนนสุทธิสาร 4 เดือน ทำงานบ้านแถวบางกะปิ2 เดือน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 4 นี้ น่าจะเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยเสียมากกว่า ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share