คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หลังจากจำเลยเช่ารถจากผู้ร้องโดยอ้างว่าเพื่อ บรรทุกพืชไร่ พืชสวนแล้ว ผู้ร้องก็ไม่ได้สนใจว่าจำเลย จะนำรถของกลางไปบรรทุกสิ่งของใด หรือจะบรรทุกน้ำหนักเกิน อย่างไรก็ได้ ซึ่งผู้ร้องไม่เคยห้ามปรามหรือทักท้วงมิให้จำเลย นำรถไปบรรทุกน้ำหนักเกิน ทั้งในสัญญาเช่ารถที่ผู้ร้องและจำเลยทำต่อกันก็มิได้ระบุห้ามไว้ด้วย ตามพฤติการณ์จึงส่อแสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องไม่ได้ใส่ใจดูแลรถของตนเท่าที่ควร แต่ปล่อยให้จำเลยนำรถไปใช้ได้ตามอำเภอใจแม้เป็นความผิด ผู้ร้องก็ไม่ห้ามปรามหรือหาทางเลิกสัญญาเช่านั้นเสีย ผู้ร้องพอใจเพียงขอให้ตนได้รับเงินค่าเช่าเท่านั้นเอง กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 และริบรถบรรทุกของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถบรรทุก10 ล้อ หมายเลขทะเบียน 82-6655 ชลบุรี ของกลาง และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้สั่งคืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถบรรทุกของกลางและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถบรรทุก 10 ล้อของกลาง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่านอกจากข้อเท็จจริงจะได้ความตามคำเบิกความของผู้ร้องว่าเมื่อจำเลยทำสัญญาเช่ารถบรรทุกกับผู้ร้องแล้ว รถก็อยู่ในความครอบครองของจำเลยโดยตลอด จำเลยจะนำรถไปรับจ้างอย่างไรผู้ร้องไม่ทราบ ผู้ร้องประสงค์จะได้รับเงินค่าเช่าเท่านั้นในช่วงที่ผู้ร้องขับรถเองผู้ร้องไม่เคยนำรถไปบรรทุกหินและดินส่วนจำเลยจะนำรถไปบรรทุกอะไร บรรทุกน้ำหนักเกินอย่างไรก็ไม่ได้สนใจด้วย และไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุคดีนี้ ผู้ร้องก็ไม่เคยถามว่าจำเลยนำรถไปบรรทุกอะไรและน้ำหนักเกินเท่าใดแล้วข้อเท็จจริงยังได้ความจากจำเลยพยานผู้ร้องอีกปากหนึ่งว่า จำเลยเช่ารถจากผู้ร้องเพื่อบรรทุกพืชไร่ พืชสวน แต่กลับนำรถไปบรรทุกดินลูกรังน้ำหนักเกินกำหนดจึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ จำเลยบอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยเช่ารถมาจากผู้ร้อง แต่ก็ไม่มีเอกสารสัญญาเช่าให้เจ้าพนักงานตำรวจดู ทั้ง ๆ ที่สัญญาเช่าทำขึ้น 2 ฉบับแต่ให้ผู้ร้องเก็บรักษาไว้ทั้งหมด ยิ่งกว่านั้นข้อเท็จจริงยังได้ความจากจำเลยต่อไปอีกว่า เมื่อจำเลยทำสัญญาเช่ารถของกลางจากผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องก็ไม่ได้สนใจว่าจำเลยจะนำรถของกลางไปบรรทุกสิ่งของใด หรือจะบรรทุกน้ำหนักเกินอย่างไรก็ได้และผู้ร้องก็ไม่เคยห้ามปรามหรือทักท้วงมิให้จำเลยนำรถไปบรรทุกน้ำหนักเกิน อีกทั้งในสัญญาเช่าก็มิได้ระบุห้ามไว้ด้วย ฉะนั้นข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์ดังกล่าวนี้จึงเป็นการส่อแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องไม่ได้ใส่ใจดูแลรถของตนเท่าที่ควรเลยแต่ได้ปล่อยให้จำเลยนำรถไปใช้ได้ตามอำเภอใจ แม้เป็นความผิดผู้ร้องก็ไม่ห้ามปรามหรือหาทางเลิกสัญญาเช่านั้นเสีย ผู้ร้องพอใจเพียงขอให้ตนได้รับเงินค่าเช่าเท่านั้นเอง กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยแล้วที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share