คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 713/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่และด้านทิศใต้อีกประมาณ 2 งาน ขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การว่า ที่ดินเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 600 บาทจำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อราคาที่ดินพิพาทคือทุนทรัพย์ชั้นฎีกามีเพียง 101,500 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 195 เนื้อที่ 38 ไร่2 งาน 40 ตารางวา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2533 จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน 2534 จำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินของโจทก์ด้านทิศใต้อีก 2 งานทำให้โจทก์เสียหายหากให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไร่ละ 200 บาทขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 195 ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 600 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าเสียหายปีละ 600 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพืชไร่ต่าง ๆ และส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2532 จำเลยซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 83หมู่ที่ 9 ตำบลหัวหว้า อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรีมาจากนายแก้ว โกชิน จำเลยไม่เคยบุกรุกที่ดินของโจทก์และโจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกนายแก้ว โกชินเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายเหียง ด่านดี ต่อมาได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณา จำเลยร่วมถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1อนุญาตให้นายวิชัย โกชิน ทายาทเข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพืชไร่ที่อยู่บนที่ดินพิพาทแล้วส่งมอบคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายปีละ 600 บาท แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ2 ไร่ และด้านทิศใต้อีกประมาณ 2 งาน ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 600 บาท แก่โจทก์และค่าเสียหายอีกปีละ 600 บาท ด้วย จำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่า จำเลยบุกรุกนั้นเป็นที่ดินของจำเลย โจทก์จึงไม่เสียหายศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหายพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 600 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินพิพาท จำเลยฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายซึ่งเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในการรับฟังพยานหลักฐานว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ อันเป็นข้อเท็จจริง เมื่อราคาที่ดินพิพาทคือทุนทรัพย์ชั้นฎีกามีเพียง 101,500 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายเพียงปีละ 600 บาท แล้ว จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย

Share