แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ส.มิได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยให้เป็นทนายจำเลยส. จึงมิได้เป็นทนายจำเลย คดีนี้ศาลแรงงานกลางอ่านคำพิพากษาวันที่ 17 กรกฎาคม 2541 ครบกำหนดอุทธรณ์วันที่ 1 สิงหาคม 2541 แม้วันที่ 30 กรกฎาคม 2541และวันที่ 13 สิงหาคม 2541 ส. จะยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปและศาลแรงงานกลางอนุญาตก็ตาม แต่ส.มิใช่ทนายจำเลยจึงไม่มีอำนาจขอขยายระยะเวลา อุทธรณ์แทนจำเลย กรณีถือได้ว่าจำเลยมิได้ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2541 จำเลยยื่นอุทธรณ์หลังจากครบกำหนดอุทธรณ์แล้ว แม้ศาลแรงงานกลางสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวก็เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีทั้งสิบห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมการพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 15
โจทก์ทั้งสิบห้าสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบห้าโดยโจทก์ทั้งสิบห้าไม่ได้กระทำความผิด และจำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินตามฟ้องโจทก์แต่ละสำนวน
จำเลยทั้งสิบห้าสำนวนขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เดิมศาลแรงงานกลางรับคำให้การจำเลยทั้งสิบห้าสำนวนไว้ ต่อมาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ทนายจำเลยนำบุคคลที่ลงลายมือชื่อแต่งตั้งทนายจำเลยโดยทนายจำเลยอ้างว่าเป็นกรรมการผู้จัดการชื่อนายสุรพงษ์ ใจงาม มาศาลเพื่อรับรองลายมือชื่อต่อหน้าศาลแต่ทนายจำเลยไม่สามารถนำบุคคลดังกล่าวมาได้ ศาลแรงงานกลางไม่เชื่อว่านายสุรพงษ์ได้ลงลายมือชื่อแต่งตั้งทนายจำเลยและถือว่าจำเลยทั้งสิบห้าสำนวนไม่เคยให้การต่อสู้คดีมาแต่แรกจากพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสิบห้าเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2539 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 5 ที่ 9 ถึงที่ 15 เนื่องจากปิดงาน และวันที่ 13 มีนาคม 2539 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 เนื่องจากปิดงานเช่นเดียวกัน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบห้าโดยโจทก์ทั้งสิบห้าไม่ได้กระทำความผิดและจำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินแต่ละจำนวนตามบัญชี สำหรับรวมการพิจารณาคดีแก่โจทก์ทั้งสิบห้าจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสิบห้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยก่อนว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2541ศาลแรงงานกลางแสดงเหตุผลที่ไม่เชื่อว่านายสุรพงษ์ ใจงามเป็นผู้ลงลายมือชื่อแต่งตั้งทนายจำเลยในใบแต่งทนายความฉบับดังกล่าว และถือว่าจำเลยไม่เคยเข้ามาต่อสู้คดีนับแต่นัดแรกข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่านายสิทธิชัย รัตโน มิได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยให้เป็นทนายจำเลย นายสิทธิชัยจึงมิได้เป็นทนายจำเลยคดีนี้ศาลแรงงานกลางอ่านคำพิพากษาวันที่ 17 กรกฎาคม 2541ครบกำหนดอุทธรณ์วันที่ 1 สิงหาคม 2541 แม้วันที่ 30 กรกฎาคม 2541และวันที่ 13 สิงหาคม 2541 นายสิทธิชัยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปและศาลแรงงานกลางอนุญาตก็ตาม แต่นายสิทธิชัยมิใช่ทนายจำเลยจึงไม่มีอำนาจขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์แทนจำเลยกรณีถือได้ว่าจำเลยมิได้ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 2 กันยายน 2541 จำเลยยื่นอุทธรณ์หลังจากครบกำหนดอุทธรณ์แล้วแม้ศาลแรงงานกลางสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวก็เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบห้าสำนวน