คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2042/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างปลายเดือนสิงหาคม 2539 ถึงกลางเดือนกันยายน 2539โดยมิได้ระบุเวลาเกิดเหตุว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม แต่การเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทก็อยู่ภายในกำหนดเวลา ดังกล่าว และจำเลยนำสืบต่อสู้โดยมิได้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำความผิด เมื่อวันเวลาที่อ้างว่า จำเลยกระทำผิดเป็นเพียงรายละเอียดของฟ้อง มิใช่ข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)และจำเลยมิได้หลงต่อสู้จึงมิใช่เหตุอันจะพึงยกฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คจำนวน3 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ค่าเสาเข็มแก่โจทก์ อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำไปเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2539 เช็คฉบับที่ 2 และที่ 3วันที่ 2 กันยายน 2539 โดยให้เหตุผลว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่ายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 30,000 บาท รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 90,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 18 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาททั้งสามฉบับแล้วนำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีเลขที่ 3764-7 เพื่อเรียกเก็บเงิน ในบัญชีดังกล่าวมีชื่อบัญชีตรงกับชื่อโจทก์ อีกทั้งชื่อเจ้าของบัญชีและเงื่อนไขการส่งจ่ายเงินจากบัญชีก็ตรงกับชื่อกรรมการโจทก์และเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและหนังสือรับรองเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์เป็นผู้ฟ้องคดีนี้ เห็นว่า โจทก์มิได้โอนไปซึ่งบรรดาสิทธิอันเกิดแต่เช็คพิพาทนั้นให้กรรมการโจทก์หรือบุคคลอื่น เช็คพิพาทยังคงเป็นของโจทก์ โจทก์นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีของตนเพื่อเรียกเก็บเงินเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาจำเลยทั้งสองมีว่า ฟ้องโจทก์มิได้ระบุเวลากลางวันหรือกลางคืนอันเป็นเวลากระทำผิดทำให้จำเลยทั้งสองไม่เข้าใจข้อหา เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดระหว่างปลายเดือนสิงหาคม 2539 ถึงกลางเดือนกันยายน 2539 การเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับก็อยู่ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้โดยมิได้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำความผิดแต่อย่างใด วันเวลาที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดเป็นเพียงรายละเอียดของฟ้องมิใช่สาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และจำเลยทั้งสองมิได้หลงต่อสู้จึงมิใช่เหตุอันจะพึงยกฟ้องดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา
พิพากษายืน

Share