คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1819/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายได้กำหนดเหตุที่ทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตลอดจนในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาไว้แตกต่างกันกล่าวคือ หากโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 จำเลยยอม ให้โจทก์ริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 และถ้าโจทก์จัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด 12 เดือน นับแต่วันที่บอกเลิกสัญญาจำเลยยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ใน สัญญานี้ด้วย ส่วนข้อ 9 นั้น ต้องเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 ในข้อนี้จำเลยที่ 1ยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของ ที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญา จนถึงวันที่จำเลยได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่โจทก์จนถูกต้อง ครบถ้วน และตามสัญญาข้อ 9 วรรคสอง ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์จะ ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจาก ธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 กับเรียกร้องให้ ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้คดีนี้ จำเลยไม่ส่งมอบยางแอสฟัลต์ให้แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามสัญญา และก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญา โจทก์ก็มิได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาตามข้อ 8 ทันที โดยโจทก์มีหนังสือทวงถามและกำหนดเวลาใหม่ให้โอกาสแก่จำเลยในการดำเนินการส่งยางแอสฟัลต์ให้แก่โจทก์ ในขณะเดียวกันโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบด้วยว่าโจทก์สงวนสิทธิการปรับตามสัญญาและให้จำเลยแจ้ง การยินยอมชำระค่าปรับมาด้วย ซึ่งจำเลยก็มีหนังสือแจ้งให้ โจทก์ทราบว่ายอมให้โจทก์ปรับตามสัญญาตามที่เคยปฏิบัติมา เป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากนี้จำเลยยังมีหนังสือยืนยันมาว่า จะส่งยางแอสฟัลต์ให้แก่โจทก์ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2533 และโจทก์มีหนังสือแจ้งการปรับในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบไปให้จำเลยทราบเมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ได้เลือกใช้สิทธิในการปรับจำเลยเป็นรายวันไปก่อนเพื่อให้โอกาสจำเลยส่งมอบยางแอสฟัลต์ให้แก่โจทก์ภายในเวลาที่โจทก์กำหนดให้ใหม่ ซึ่งจำเลยก็ยินยอมตลอดมา ครั้นเมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถส่งมอบยางแอสฟัลต์ให้ตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา การกระทำของโจทก์เช่นนี้ต้องด้วยข้อ 9 วรรคสองของสัญญาซื้อขาย โจทก์จึงมีสิทธิปรับจำเลย เป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.20 ของราคายางแอสฟัลต์ที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยได้รับ หนังสือบอกเลิกสัญญาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน2,592 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงินค่าปรับรายวันเป็นเงิน 65,007.36 บาท และเงินค่าซื้อยางแอสฟัลต์สูงขึ้นเป็นเงิน 14,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกเบี้ยปรับรายวันจากจำเลยทั้งสองเพราะกรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบสินค้าโจทก์มีสิทธิเพียงประการเดียวคือบอกเลิกสัญญา เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันตามฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าซื้อยางแอสฟัลต์ที่เพิ่มขึ้นเพราะโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างไม่ถือเงื่อนไขกำหนดเวลาส่งมอบสินค้าเป็นสาระสำคัญ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยที่ 1เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลและเป็นผู้ค้ำประกันการซื้อขายรายพิพาทนี้ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2531โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาซื้อขายยางแอสฟัลต์อิมัลชั่นซีอาร์เอส-2 จำนวน 7.2 เมตริกตัน เป็นเงิน 51,840 บาท หลังจากที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายยางแอสฟัลต์ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบยางแอสฟัลต์ตามสัญญาให้โจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ส่งยางแอสฟัลต์ตามสัญญาให้โจทก์จนครบภายใน 30 วัน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ส่งมอบยางแอสฟัสต์ให้โจทก์ โจทก์ได้ไปซื้อยางแอสฟัลต์ชนิดเดียวกันจากบริษัทอื่น โดยโจทก์ต้องจ่ายเงินค่าซื้อยางแอสฟัลต์จากบริษัทอื่นมากกว่าราคาที่ซื้อจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 14,400 บาท ต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 โดยสงวนสิทธิตามข้อสัญญาริบหลักประกันตามสัญญาเป็นเงิน 2,592 บาท และขอปรับรายวันในอัตราร้อยละ 0.20 ของราคายางแอสฟัลต์ที่ยังไม่ได้รับมอบ นับถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา
นอกจากคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นแล้วจำเลยทั้งสามยังแถลงยอมรับต่อโจทก์ในข้อสัญญาริบหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาเป็นเงิน 2,592 บาท และยอมรับผิดในจำนวนเงินที่โจทก์ต้องไปซื้อยางแอสฟัลต์จากบริษัทอื่น ซึ่งโจทก์ต้องจ่ายเงินซื้อยางดังกล่าวมากกว่าซื้อจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน14,400 บาท แต่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่ว่า เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้บอกเลิกกันโดยชอบแล้วโจทก์มีสิทธิปรับรายวันในอัตราร้อยละ 0.20 ของราคายางแอสฟัลต์ที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 และข้อ 9ของสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้หรือไม่ แล้วทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน2,592 บาท และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน14,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นพิพาทซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาก็คือ เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้บอกเลิกกันโดยชอบแล้ว โจทก์มีสิทธิปรับรายวันในอัตราร้อยละ 0.20 ของราคายางแอสฟัลต์ที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 และข้อ 9 ของสัญญาซื้อขายดังกล่าวหรือไม่ ในเบื้องต้นนอกจากคู่ความจะแถลงรับข้อเท็จจริงต่าง ๆ กันแล้วจนไม่ต้องทำการสืบพยานของฝ่ายใดอีกต่อไป จำเลยทั้งสามยังยอมรับพยานเอกสารของโจทก์อีกด้วย จะเห็นได้ว่ามีการกำหนดเหตุที่ทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ตลอดจนผลในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา และในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ดังปรากฏรายละเอียดอยู่ในข้อ 8 และข้อ 9ของสัญญาดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญา ซึ่งจำเลยที่ 1 รับทราบแล้ว ปัญหาจึงมีว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยอาศัยสิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8หรือข้อ 9 ทั้งนี้เพราะการเลิกสัญญา 2 ข้อ ดังกล่าวนั้นมีผลแตกต่างกันคือ หากโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 และถ้าโจทก์จัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด 12 เดือน นับแต่วันที่บอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย ส่วนข้อ 9 นั้น ต้องเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 ในข้อนี้จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วน และตามสัญญาข้อ 9 วรรคสอง ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 กับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ สำหรับคดีนี้ก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญานั้น เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ส่งมอบยางแอสฟัลต์ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2531 ตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา โจทก์มิได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาตามข้อ 8 ทันที โดยโจทก์มีหนังสือทวงถามและกำหนดเวลาใหม่ให้โอกาสแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในการดำเนินการส่งยางแอสฟ์ลต์ให้แก่โจทก์ในขณะเดียวกันได้แจ้งให้ทราบด้วยว่าโจทก์สงวนสิทธิการปรับตามสัญญาและให้จำเลยที่ 1 แจ้งการยินยอมชำระค่าปรับมาด้วย ตามหนังสือของโจทก์เรื่อง ขอให้ดำเนินการส่งยางแอสฟัลต์ตามสัญญาปี 2531 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2532 หนังสือเรื่อง ขอให้เร่งรัดจัดส่งยางแอสฟัลต์ ซีอาร์เอส-2 และหนังสือเรื่องการยินยอมชำระค่าปรับ ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่ายอมให้โจทก์ปรับตามสัญญาตามที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังมีหนังสือยืนยันมาว่าจะส่งยางแอสฟัลต์ให้แก่โจทก์ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์2533 ประกอบกับโจทก์มีหนังสือแจ้งการปรับในอัตราร้อยละ 0.2ของราคาพัสดุที่ยังไม่ได้รับมอบไปให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบจากพฤติการณ์แห่งคดีต่าง ๆ ที่ดำเนินมาดังที่ได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยข้างต้น รูปคดีเป็นที่เห็นและเข้าใจว่า เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญา โจทก์ได้เลือกใช้สิทธิในการปรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นรายวันไปก่อนเพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบยางแอสฟัลต์ให้แก่โจทก์ภายในเวลาที่โจทก์กำหนดให้ใหม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ยินยอมตลอดมา ด้วยเหตุนี้เองครั้นเมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ กล่าวคือ ไม่สามารถส่งมอบยางแอสฟัลต์ให้ตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา การกระทำของโจทก์เช่นนี้กรณีต้องด้วยข้อ 9 วรรคสอง ของสัญญาซื้อขายโจทก์จึงมีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.20 ของราคายางแอสฟัลต์ที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญารวม 627 วัน ดังที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าปรับรายวันจำนวน 627 วัน เป็นเงิน 65,007.36 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share