คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7776/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นปลัดสุขาภิบาลได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากสุขาภิบาลให้เป็นผู้ตรวจงานจ้างในการจ้างเหมาขุดลอกและล้างทางระบายน้ำในเขตสุขาภิบาล จำเลยที่ 1 ได้เข้าดำเนินการขุดลอกและล้างทางระบายน้ำโดยใช้คนงานของสุขาภิบาลทำงานให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีหน้าที่จัดการและดูแลกิจการของสุขาภิบาล เมื่อจำเลยที่ 1 เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการดังกล่าวโดยจ่ายค่าจ้างคนงานเพียง 1,750 บาท แต่เบิกเงินค่าจ้างตามสัญญาไป 2,900 บาท เป็นเหตุให้สุขาภิบาลได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152,157อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 152 ซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจการจ้างทำหลักฐานใบตรวจรับงานจ้างเสนอประธานกรรมการสุขาภิบาลว่าผู้รับจ้างได้ก่อสร้างถนนลาดยางแบบ 2 ชั้น เสร็จเรียบร้อยและถูกต้องตามสัญญาแล้ว เห็นควรเบิกจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้าง ทั้ง ๆ ที่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตรวจสอบการทำงานของผู้รับจ้าง จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอันเป็นการผิดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2528แม้ว่าการตรวจการก่อสร้างถนนลาดยางจะต้องอาศัยผู้มีความรู้เป็นพิเศษเนื่องจากมองดูด้วยตาจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามีการลาดยาง 1 ชั้น หรือ 2 ชั้น แต่ถ้าจำเลยทั้งสี่ออกไปควบคุมดูแลและเอาใจใส่ในการตรวจสอบตามขั้นตอนก็ย่อมสามารถให้ผู้รับจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาและแบบแปลนได้ การที่ปล่อยให้ผู้รับจ้างก่อสร้างถนนโดยลาดยางเพียงชั้นเดียว เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้สุขาภิบาลอนุมัติให้จ่ายค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างไปมากกว่าปริมาณของงาน ที่ได้รับ จำเลยทั้งสี่จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานดำรงตำแหน่งปลัดสุขาภิบาลโคกโพธิ์ ได้รับแต่งตั้งจากสุขาภิบาลโคกโพธิ์ผู้ว่าจ้างให้เป็นผู้ตรวจงานจ้างเหมาขุดลอกทางระบายน้ำในเขตสุขาภิบาลโคกโพธิ์ มีหน้าที่จัดการดูแลตรวจสอบ และควบคุมผู้รับจ้างให้ทำงานขุดลอกทางระบายน้ำให้ถูกต้องตามแบบแผนและระเบียบของทางราชการให้แล้วเสร็จตามสัญญา ได้เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองเนื่องด้วยกิจการดังกล่าว โดยเข้าเป็นผู้รับจ้างเหมาขุดลอดทางระบายน้ำดังกล่าวจากสุขาภิบาลโคกโพธิ์ผู้ว่าจ้างเสียเอง โดยใช้ชื่อว่านายสงคราม ยี่สุ่นแก้วทำงานดังกล่าวจนแล้วเสร็จและเบิกเงินค่าจ้างไปเรียบร้อยตามสัญญา เป็นเงิน 2,900 บาท ซึ่งเกินกว่าจำนวนเงินที่จ่ายไปจริง ความจริงแล้วจำเลยใช้คนงานของสุขาภิบาลโคกโพธิ์เป็นคนทำงาน โดยจ่ายค่าจ้างให้คนงาน7 คน คนละ 270 บาท เป็นเงิน 1,750 บาทส่วนที่เหลืออีก 1,150 บาท จำเลยนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สุขาภิบาลโคกโพธิ์และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและจำเลยทั้งสี่เป็นพนักงานโดยได้รับแต่งตั้งจากสุขาภิบาลโคกโพธิ์ให้เป็นคณะกรรมการตรวจการจ้างกรณีจ้างเหมาก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัลต์ในเขตสุขาภิบาลโคกโพธิ์มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการทำงานของผู้รับจ้างให้ถูกต้องและครบถ้วนตามสัญญาและระเบียบแบบแผนของทางราชการและรับมอบงานจากผู้รับจ้างเมื่อการก่อสร้างถูกต้องแล้วเสร็จตามสัญญา จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สุขาภิบาลโคกโพธิ์ผู้ว่าจ้างและโดยทุจริตได้ร่วมกันตรวจรับมอบงานจ้างดังกล่าวจากห้างหุ้นส่วนจำกัดนาเกตุวัฒนาโดยจำเลยทั้งสี่รู้อยู่แล้วว่าผู้รับจ้างได้ลาดยางผิวถนนเพียงชั้นเดียวทั้ง ๆ ที่ตามสัญญากำหนดให้ลาดยาง 2 ชั้น และไม่มีการออกไปตรวจสอบการทำงานของผู้รับจ้างตามหน้าที่ เป็นเหตุให้สุขาภิบาลโคกโพธิ์จ่ายเงินให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดนาเกตุวัฒนาไปเต็มตามสัญญาจ้างทำให้สุขาภิบาลโคกโพธิ์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน72,457.56 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 152, 157
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 ให้จำคุก 1 ปี และปรับ10,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการมีคุณงามความดีไม่เคยกระทำความผิดใดมาก่อนทั้งความผิดที่ได้กระทำไปเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ถึงขนาดร้ายแรง จึงเห็นควรให้โอกาสสักครั้ง โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีบังคับค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ส่วนข้อหาอื่นนอกจากที่ให้ยก และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157จำคุกคนละ 1 ปีส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 152, 157อีกกระทงหนึ่งแต่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 1 ปี รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปีไม่ปรับและไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 จำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดสุขาภิบาลโคกโพธิ์ได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากสุขาภิบาลโคกโพธิ์ให้เป็นผู้ตรวจงานจ้างในการจ้างเหมาขุดลอกและล้างทางระบายน้ำริมถนนเพชรเกษมในเขตสุขาภิบาลโคกโพธิ์ตามคำสั่งสุขาภิบาลโคกโพธิ์เอกสารหมาย จ.1และเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2531 จำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าพนักงานได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากสุขาภิบาลโคกโพธิ์ให้จำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการตรวจการจ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นกรรมการตรวจการจ้างในการจ้างก่อสร้างถนนลาดยางแอสพัลต์ในเขตสุขาภิบาลโคกโพธิ์ตามคำสั่งสุขาภิบาลโคกโพธิ์เอกสารหมาย จ.7
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องจากงานจ้างเหมาขุดลอกและล้างทางระบายน้ำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152, 157หรือไม่ เห็นว่าแม้สัญญาจ้างขุดลอกและล้างทางระบายน้ำได้ระบุชื่อนายสงคราม ยี่สุ่นแก้ว เป็นผู้รับจ้างตามเอกสารหมาย จ.2 แต่จากคำเบิกความของนายสงครามปรากฏว่านายสงครามไม่เคยเกี่ยวข้องหรือมีส่วนรู้เห็นในการรับจ้างขุดลอกและล้างทางระบายน้ำของสุขาภิบาลโคกโพธิ์ อีกทั้งไม่ยอมรับว่าลายมือชื่อในช่องผู้รับจ้างตามสัญญาข้อตกลงจ้างเอกสารหมาย จ.2ลายมือชื่อในช่องผู้รับเงินตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.4และลายมือชื่อในช่องผู้รับเงินตามฎีกาเบิกเงินเอกสารหมาย จ.5 เป็นลายมือชื่อของตน เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำเบิกความของนางสาวกมลรัตน์ รักษาเจ้าหน้าที่การเงินของสุขาภิบบาลโคกโพธิ์แล้วได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้นางสาวกมลรัตน์กรอกรายละเอียดในฎีกาเบิกเงิน แล้วจำเลยที่ 1 รับเอาฎีกาที่ขอเบิกเงินดังกล่าวไป ต่อมามีการลงลายมือชื่อนายสงครามในฎีกาเบิกเงินแล้วนำกลับมาให้นางสาวกมลรัตน์เสนอต่อผู้บังคับบัญชาเพื่ออนุมัติจ่ายเงินตามที่ขอเบิกไป ซึ่งในข้อนี้โจทก์ยังมีนายเกียรติ จินดาประเสริฐ ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีสุขาภิบาลโคกโพธิ์เบิกความว่า เมื่อนางสาวกมลรัตน์ส่งฎีกาขอเบิกเงินดังกล่าวมาแล้ว พยานเอาเงิน 2,900 บาทส่งให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้นำสมุดเซ็นรับเงินจากพยานออกไปนอกห้องนานประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วกลับมาพร้อมกับใบเสร็จรับเงินและสมุดเซ็นรับเงินโดยมีลายมือชื่อนายสงครามเป็นผู้รับเงิน จากคำเบิกความของพยานทั้งสองปากดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปจัดการให้ตั้งแต่ขอตั้งฎีกาเบิกเงินและรับเงินเอาไปเองโดยไม่ปรากฏมีตัวนายสงครามเข้าไปแสดงตนเพื่อขอเบิกเงินตามที่ได้รับจ้างขุดลอกและล้างทางระบายน้ำแต่อย่างใด นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายเลาะ มะเส็นนายสมาน สรรไสยา นายหวังหลี ยียูโซ๊ะ นายมีงัด หมัดโซ๊ะลูกจ้างของสุขาภิบาลโคกโพธิ์เป็นพยานเบิกความว่าเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2531 จำเลยที่ 1 สั่งให้พยานกับพวกรวม 7 คน เอารถดับเพลิงไปฉีดน้ำล้างทางระบายน้ำความยาวประมาณ 200 เมตร เมื่อพยานกับพวกทำเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 1 นำเงินมาจ่ายให้พยานกับพวกคนละ250 บาท เห็นว่า พยานกับพวกดังกล่าวบางคนเป็นพนักงานดับเพลิง บางคนเป็นลูกจ้างชั่วคราวทำหน้าที่กวาดขยะและทำความสะอาดของสุขาภิบาลโคกโพธิ์ ล้วนอยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 จึงไม่น่าจะมีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 หากนายสงครามเป็นผู้กระทำการขุดลอกและล้างทางระบายน้ำตามที่สุขาภิบาลโคกโพธิ์ว่าจ้างตามเอกสารหมาย จ.2 ที่แท้จริงการไปขอเบิกเงิน เซ็นชื่อรับเงิน และจ่ายค่าจ้างให้คนงานก็น่าจะต้องเป็นนายสงครามเป็นผู้ดำเนินการเองไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องใช้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นปลัดสุขาภิบาลโคกโพธิ์ดำเนินการให้และจากการที่พิเคราะห์ดูลายมือชื่อของนายสงครามในช่องผู้รับจ้างตามเอกสารหมาย จ.2 ช่องผู้รับเงินในใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย จ.4ช่องผู้รับเงินในฎีกาเบิกเงินตามเอกสารหมาย จ.5เทียบเคียงกับลายมือชื่อของนายสงครามในท้ายคำเบิกความแล้ว เห็นได้ชัดว่าลักษณะไม่คล้ายกันเลย จึงไม่น่าเชื่อว่านายสงครามเป็นผู้รับจ้างทำงานรายนี้ แต่มีพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าดำเนินการขุดลอกและล้างทางระบายน้ำโดยใช้คนงานของสุขาภิบาลโคกโพธิ์ทำงานให้ จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นปลัดสุขาภิบาลโคกโพธิ์ถือว่าเป็นผู้มีหน้าที่จัดการและดูแลกิจการของสุขาภิบาลโคกโพธิ์ เมื่อจำเลยที่ 1 เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการดังกล่าวโดยจ่ายค้าจ้างคนงานเพียง 1,750 บาทแต่เบิกเงินค่าจ้างตามสัญญาไป 2,900 บาท เป็นเหตุให้สุขาภิบาลโคกโพธิ์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 152, 157 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 152 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สุขาภิบาลโคกโพธิ์หรือไม่ซึ่งในปัญหาดังกล่าวจำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า จำเลยทั้งสี่ได้ออกไปตรวจการจ้างเมื่องานที่ผู้รับจ้างได้ทำเสร็จแล้วโดยผู้รับจ้างได้ลาดยางแอสฟัลต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จำเลยทั้งสี่ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้างไม่มีความรู้ด้านช่างในการตรวจงานสร้างถนนและมองไม่ออกว่าเป็นการลาดยางแอสฟัลต์กี่ชั้น ซึ่งในข้อนี้พยานโจทก์ก็ยอมรับเช่นนั้น ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าแม้สุขาภิบาลโคกโพธิ์ไม่ได้แต่งตั้งกรรมการที่เป็นช่างผู้ชำนาญไปควบคุมหรือดูแลงานก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัลต์ดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจการจ้างตามเอกสารหมาย จ.7 โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ในทางราชการดังนั้น จำเลยทั้งสี่จึงเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ต้องเดินทางไปควบคุมดูแลและตรวจสอบผลงานที่ผู้รับจ้างทำไว้ให้ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา ตลอดจนให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้วรายงานให้ประธานกรรมการสุขาภิบาลโคกโพธิ์ทราบเพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองและของสุขาภิบาลโคกโพธิ์ การที่จำเลยทั้งสี่ได้ทำหลักฐานใบตรวจรับงานจ้างเสนอประธานกรรมการสุขาภิบาลโคกโพธิ์ตามเอกสารหมาย จ.8 ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดนาเกตุวัฒนาผู้รับจ้างได้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างโดยก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัลต์แบบ 2 ชั้น ผิวจราจรกว้าง 4 เมตรยาว 160 เมตร เสร็จเรียบร้อยและถูกต้องตามสัญญาแล้ว เห็นควรเบิกจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างจำนวนเงิน 147,000 บาท และจากการทำหลักฐานดังกล่าวเป็นเหตุให้มีการเบิกจ่ายเงินให้ผู้รับจ้างไป ทั้ง ๆ ที่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตรวจสอบการทำงานของผู้รับจ้างว่าได้ลาดยางผิดถนนได้ 2 ชั้น ตามสัญญาจริงหรือไม่ ดังนี้ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอันเป็นการผิดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นพ.ศ. 2528 ถ้าหากจำเลยทั้งสี่ใช้ความรอบคอบและเอาใจใส่ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยการออกไปตรวจสอบการก่อสร้างถนนตามขั้นตอนก็ย่อมจะทราบและตรวจสอบพบเห็นได้โดยง่ายว่าผู้รับจ้างได้ก่อสร้างตรงตามสัญญาหรือไม่มิใช่ปล่อยปละละเลยจนกระทั่งผู้รับจ้างก่อสร้างถนนและลาดยางเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงไปตรวจรับมอบงาน แม้ว่าการก่อสร้างถนนที่มีการลาดยางเช่นนี้จะต้องอาศัยผู้มีความรู้ในงานก่อสร้างเป็นพิเศษเนื่องจากมองดูด้วยตาจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามีการลาดยางแอสฟัลต์ 1 ชั้นหรือ 2 ชั้น ซึ่งจะต้องทำการตรวจสอบวิธีเจาะผิวจราจรขึ้นมาตรวจสอบก็ตาม แต่ถ้าจำเลยทั้งสี่ได้มีการออกไปควบคุมดูแลและเอาใจใส่ในการตรวจสอบตามขั้นตอนก็ย่อมสามารถให้ผู้รับจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาและแบบแปลนก่อสร้างถนนได้ จะไม่เกิดความเสียหายแก่สุขาภิบาลโคกโพธิ์การที่ปล่อยให้ผู้รับจ้างก่อสร้างถนนโดยลาดยางแอลฟัลต์เพียงชั้นเดียว เท่ากับว่าจำเลยทั้งสี่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าจำเลยทั้งสี่เป็นเพียงกรรมการตรวจการจ้างและได้ออกไปตรวจรับเมื่องานเสร็จแล้ว อีกทั้งจำเลยทั้งสี่ไม่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องลาดยางแอสฟัลต์ย่อมไม่มีโอกาสทราบได้ว่าผู้รับจ้างได้ลาดยางแอสฟัลต์แบบกี่ชั้นนั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวไม่สมเหตุผลแต่เป็นกรณีแก้ตัวเพื่อให้จำเลยทั้งสี่พ้นความรับผิดมากกว่า การที่จำเลยทั้งสี่ตรวจรับมอบงานจากผู้รับจ้างโดยอ้างว่าลาดยางแอสฟัลต์ 2 ชั้น ถูกต้องตามสัญญาแต่จากการตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีการลาดยางแอสฟัลต์เพียง1 ชั้น ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้สุขาภิบาลโคกโพธิ์อนุมัติให้จ่ายค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างไปครบถ้วนตามสัญญาก่อให้เกิดความเสียหายที่ต้องจ่ายเงินไปมากกว่าปริมาณของงานที่ได้รับเป็นจำนวน72,457.56 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 5,000 บาทรวม 2 กระทง ปรับ 10,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ปรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 คนละ 5,000 บาท อีกสถานหนึ่งโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share