คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3946/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 โดยก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 จำเลยได้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องถิ่นขอย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 50ถนนเรศ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเข้าบ้านดังกล่าวแต่อย่างใดจนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้วเป็นเวลา 7 วัน จำเลยจึงได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 70/16 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ดังนั้นจึงต้องถือว่าในระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2534ถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยเป็นบุคคลที่ไม่ปรากฎภูมิลำเนาซึ่งศาลไม่อาจส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องโดยวิธีธรรมดาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่ง แล้ว จำเลยย้ายภูมิลำเนาหลายครั้งโดยมีพฤติการณ์ไม่สุจริตเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะไม่รับคำคู่ความหรือเอกสารใดถ้ามีถึงตนจนต้องขาดนัดพิจารณาจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้พิจารณาใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบวันนัดพิจารณาโดยวิธีประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 21เมษายน 2535 และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่2 มิถุนายน 2536
จึงยื่นคำร้องว่า เดิมจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 1423ถนนประชาสงเคราะห์ แขวงสามเสนใน เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ตามฟ้องต่อมาวันที่ 22 มีนาคม 2526 จำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 1/27 ซอยสันตินฤมาน แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และวันที่ 8 มกราคม 2529 จำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาออกจากบ้านเลขที่ 1/27 ไปอยู่บ้านเลขที่ 2508/738 ถนนดินแดง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานครและได้ย้ายภูมิลำเนาไปอีกหลายแห่ง ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 3/6 ถนนนเรศ แขวงสี่พระยาเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร และวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535จำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 70/16 หมู่ที่ 8 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จนถึงปัจจุบัน จึงสามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยวิธีธรรมดาได้ การที่โจทก์แถลงขอให้ศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ จึงเป็นการไม่ชอบขอให้พิจารณาใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยแจ้งย้ายเข้าบ้านเลขที่ 1/27แต่เมื่อโจทก์ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานการแจ้งย้ายเข้าโจทก์จึงไม่สามารถขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยเจ้าพนักงานศาลได้ การที่จำเลยย้ายภูมิลำเนาไปเรื่อย ๆหลาย ๆ ครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรและไม่ให้โจทก์ทราบว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์เคยยึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ค่าภาษีอากรทีค้างชำระ จำเลยไม่เคยคัดค้าน แสดงว่าจำเลยรู้แล้วว่าจะต้องถูกโจทก์ฟ้อง กรณีไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้พิจารณาใหม่ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์นั้นเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบหรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535ซึ่งปรากฎหลักฐานตามทางนำสืบของจำเลย ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 จำเลยได้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องถิ่นเขตสาธร กรุงเทพมหานคร ขอย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 50 ถนนนเรศ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.4 แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเข้าบ้านดังกล่าวแต่อย่างใด จนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้วเป็นเวลา 7 วัน จำเลยจึงได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 70/16 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.5 ดังนั้นจึงต้องถือว่าในระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยเป็นบุคคลที่ไม่ปรากฎภูมิลำเนาซึ่งศาลไม่อาจส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีธรรมดาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่งแล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ที่จำเลยขาดนัดพิจารณานั้นมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้พิจารณาใหม่ตามคำขอของจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้มีการย้ายภูมิลำเนาหลายครั้ง โดยมีพฤติการณ์ที่ทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยกระทำการโดยไม่สุจริต เป็นการหาทางหลีกเลี่ยงที่จะไม่รับคำคู่ความหรือเอกสารใด ๆ ถ้าหากมีถึงตนจนต้องขาดนัดพิจารณาจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้พิจารณาใหม่ตามคำขอของจำเลย
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่

Share