แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารโจทก์และตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยดังกล่าวต่อโจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จจึงไม่ชอบ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่ถูกต้อง และที่ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่าเมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์คำร้องนี้จึงไม่ต้องสั่ง เท่ากับไม่อนุญาตให้อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาเพราะเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งไม่ถูกต้องศาลฎีกาย่อมมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำฟ้องอุทธรณ์ใหม่ และดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขออุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามขั้นตอนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่งต่อไป
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน689,368.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน550,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 29 ตุลาคม 2539) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14086 ตำบลขวัญเมือง อำเภอบางปะหันจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
โจทก์อุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ศาลเห็นว่าสูงเกินไป จึงกำหนดอัตราดอกเบี้ยเสียใหม่ให้โจทก์ได้รับชดใช้ดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 15 ต่อปี เป็นการใช้ดุลพินิจในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย โจทก์อุทธรณ์ดุลพินิจของศาลจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ไม่ถึงห้าหมื่นบาทจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์และสั่งคำร้องขอยื่นอุทธรณ์ว่า เมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คำร้องนี้จึงไม่จำต้องสั่ง
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองได้ในอัตราที่ระบุไว้ในสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับโจทก์หรือไม่ และการคิดดอกเบี้ยของโจทก์เป็นไปตามข้อตกลงที่โจทก์และจำเลยตกลงอัตราดอกเบี้ยไว้ ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจลดอัตราดอกเบี้ยได้เอง เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับอุทธรณ์และอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาด้วย
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารโจทก์และตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยดังกล่าวต่อโจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จึงไม่ชอบ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำฟ้องอุทธรณ์ว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่ถูกต้อง และที่ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขออุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่าเมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คำร้องนี้จึงไม่ต้องสั่งก็เท่ากับไม่อนุญาตให้อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา เพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่ถูกต้องเช่นกัน ดังนั้นจึงให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำฟ้องอุทธรณ์ใหม่ และดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขออุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามขั้นตอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่งต่อไป”