คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7150/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บันทึกตกลงค่าเสียหายระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างของผู้กระทำละเมิดระบุว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมตามที่ฝ่ายโจทก์เรียกร้อง โดยจะมอบหมายให้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันเกิดเหตุที่ชนรถยนต์ของโจทก์เป็นผู้นำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิม ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีการตกลงเกี่ยวกับจำนวนเงินค่าซ่อมไว้เป็นที่แน่นอนและจำเลยที่ 2ไม่ได้ร่วมตกลงด้วย จึงไม่แน่ว่าจำเลยที่ 2 จะยินยอมซ่อมรถยนต์ของโจทก์หรือไม่ เพียงใด ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นข้อตกลงระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันแก่กันจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มูลหนี้ละเมิดจึงไม่ระงับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารไม่ประจำทางหมายเลขทะเบียน 30-0940 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 81-0330 สุพรรณบุรี และจำเลยที่ 2เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2536 เวลา 15.30 นาฬิกา ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 81-0330 สุพรรณบุรีไปตามถนนเขางูเบิกไพร มุ่งหน้าไปทางอำเภอบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี ตามที่ได้รับมอบหมายหรือในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ชนรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 30-0940 กรุงเทพมหานครของโจทก์ซึ่งแล่นสวนทางมาในช่องเดินรถของโจทก์เสียหายและเป็นเหตุให้นายมนัส แตงโสภา คนขับรถของโจทก์ได้รับบาดเจ็บต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2536 ตัวของโจทก์และจำเลยที่ 1ได้ทำบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายโดยจำเลยที่ 1 ตกลงซ่อมรถยนต์โดยสารของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิม รถยนต์โดยสารของโจทก์ต้องซ่อมคิดเป็นเงิน 237,800 บาท และโจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากไม่ได้ใช้รถยนต์โดยสารระหว่างซ่อมวันละ 2,166 บาทรวม 187 วัน คิดเป็นเงิน 405,042 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 642,842 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 แล้ว มูลหนี้ละเมิดย่อมระงับ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2ให้รับผิดไม่ได้ เหตุคดีนี้เกิดจากคนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน297,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ในวงเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อแรกว่า บันทึกข้อตกลงค่าเสียหายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ในข้อนี้ตามบันทึกข้อตกลงค่าเสียหายดังกล่าวระบุว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมตามที่ฝ่ายโจทก์เรียกร้อง โดยจะมอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้นำรถยนต์โดยสารของโจทก์ไปซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนเกิดเหตุ เห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีการตกลงเกี่ยวกับจำนวนเงินค่าซ่อมไว้เป็นที่แน่นอน และจำเลยที่ 2ไม่ได้ร่วมตกลงด้วย จึงไม่แน่ว่าจำเลยที่ 2 จะยินยอมซ่อมรถยนต์โดยสารของโจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่ เพียงใดเช่นนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นข้อตกลงในการระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันแก่กัน จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความมูลหนี้ละเมิดจึงไม่ระงับลงแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยที่ 2ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share