คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6950/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน มีหน้าที่ควบคุมดูแลการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานเพื่อจ่ายเงินค่าทดแทนการที่จำเลยที่ 1 ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นอนุกรรมการไปตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎร แล้วทำรายงานมาให้จำเลยที่ 1ลงชื่อร่วม เป็นเหตุให้โจทก์จ่ายเงินค่าทดแทนแก่ผู้ที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไปตามรายงานของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่เอาใจใส่ปฏิบัติงานตามที่ได้รับแต่งตั้งเป็นความประมาทเลินเล่อแล้วจำเลยที่ 1 จะอ้างว่ามีภารกิจติดราชการอื่นแล้วละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการสังกัดกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ขณะเกิดเหตุเป็นข้าราชการและลูกจ้างประจำของโจทก์ ปฏิบัติงานประจำอยู่ที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษายางมณีจำเลยที่ 5 มีตำแหน่งทางราชการเป็นกำนันตำบลจักรสีห์เมื่อปี 2527 สำนักงานชลประทานที่ 7 ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของโจทก์มีโครงการขุดลอกขยายคลองระบายน้ำแม่น้ำน้อยสาย 2ในท้องที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีจำเลยทั้งห้าได้รับแต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานในท้องที่ดังกล่าวเพื่อจ่ายเงินค่าทดแทนโดยจำเลยที่ 1 เป็นประธานอนุกรรมการ ส่วนจำเลยที่ 2ถึงที่ 5 เป็นอนุกรรมการ เฉพาะจำเลยที่ 4 ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่จดบันทึกการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานทั้งหมด แต่จำเลยทั้งห้าได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อโดยในการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานนั้น จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันหลอกลวงนางน้ำค้าง คงสุนทร ซึ่งมีบ่อเลี้ยงปลา 2 บ่อ และนางสมศรี อยู่สบาย ซึ่งมีบ่อเลี้ยงปลา 1 บ่อ ว่า บุคคลทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนจากโจทก์ แล้วกลับนำเอาบ่อเลี้ยงปลาดังกล่าวไปเบิกจ่ายเงินให้แก่ราษฎรอื่นที่ไม่มีสิทธิจะได้รับเงินค่าทดแทนจำนวน 125,460 บาท และนำเงินที่ได้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลอื่นนอกจากนั้นจำเลยทั้งห้ายังร่วมกันทำหลักฐานอันเป็นเท็จเบิกจ่ายเงินค่าบ่อเลี้ยงปลาให้แก่จำเลยที่ 5 อีกเป็นเงินจำนวน 29,400 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งห้าสมคบกันทุจริตเบิกจ่ายไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น 154,860 บาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยโจทก์ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนล่อเลี้ยงปลาไปเกินกว่าที่ควรจ่ายจริงเป็นจำนวน154,860 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 154,860 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าต่างให้การปฏิเสธความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินคืนแก่โจทก์จำนวน 154,860 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานเพื่อจ่ายเงินค่าทดแทนตามโครงการขุดลอกคลองระบายน้ำแม่น้ำน้อย 2ในท้องที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีโดยจำเลยที่ 1 เป็นประธานอนุกรรมการ จำเลยที่ 1 ให้การยอมรับว่า ในการที่จำเลยที่ 1 เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ได้ออกไปตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานร่วมกับอนุกรรมการอื่น เพียงแต่จำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อร่วมในรายงานของอนุกรรมการอื่นที่เสนอมาให้ลงชื่อร่วมเท่านั้น ที่ไม่ได้ไปตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรร่วมกับอนุกรรมการอื่น เพราะจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองสิงห์บุรีต้องปฏิบัติราชการอื่นด้วย เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานมีหน้าที่ต้องควบคุมการดูแลการตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานเพื่อจ่ายเงินค่าทดแทนแต่กลับปล่อยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นอนุกรรมการไปตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎร แล้วทำรายงานมาให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อร่วมในฐานะประธานอนุกรรมการจนกระทั่งโจทก์ในคดีนี้ได้จ่ายเงินค่าทดแทนบ่อเลี้ยงปลาพิพาทไปตามรายงานของคณะอนุกรรมการเป็นเงิน 154,860 บาท ซึ่งความจริงแล้วโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเพราะผู้รับไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยจำเลยที่ 1 ไม่เอาใจใส่ปฏิบัติงานตามที่ได้รับแต่งตั้ง ถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 จะอ้างว่ามีภารกิจติดราชการอื่นแล้วละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ประธานอนุกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการหาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเคยทักท้วงจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เรื่องบันทึกเสนอจ่ายเงินค่าทดแทนบ่อเลี้ยงปลาของราษฎรที่อยู่ในเขตที่ดินสาธารณะซึ่งจำเลยที่ 1 เห็นว่าตามระเบียบของกรมที่ดินจะจ่ายเงินค่าทดแทนให้ไม่ได้นั้น เห็นว่าในเรื่องนี้จำเลยที่ 1 เบิกความไว้ลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ไม่น่าเชื่อ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share