คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6721/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่าเรือทั้งสองลำจะต้องซ่อมและแก้ไขระบบต่าง ๆ โดยระบุรายละเอียดของแต่ละรายการไว้รวม 10 รายการและโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการซ่อมแซมเป็นเงิน559,800 บาท เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดแล้ว สำหรับรายละเอียดของแต่ละรายการจะต้องใช้เงินเท่าใด เป็นเรื่องที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ข้อจำกัดสิทธิในหนังสือมอบอำนาจในการดำเนินกระบวนพิจารณาในทางจำหน่ายสิทธิ ซึ่งได้ระบุรายละเอียดไว้เป็นข้อที่สามารถที่จะจำกัดสิทธินั้นได้ไม่ขัดต่อสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 จำเลยที่ 1 รับจ้างเหมาต่อเรือพิพาทให้โจทก์ หลังจากส่งมอบเรือพิพาทเกิดการชำรุดบกพร่องไม่สามารถใช้การได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าความชำรุดบกพร่องดังกล่าวจึงเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ซึ่งต่อเรือพิพาทพร้อมติดตั้งเครื่องยนต์และอุปกรณ์ไม่ครบถ้วนตามสัญญา ดังนั้น แม้โจทก์จะได้รับมอบเรือพิพาทไว้แล้วก็มิใช่ข้อยกเว้นความรับผิด จำเลยที่ 1 ให้การเพียงว่า ความเสียหายที่โจทก์อ้างทั้ง 10รายการ เป็นการเปลี่ยนแปลงให้แตกต่างไปจากสัญญาที่โจทก์จำเลยที่ 1ทำกันไว้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าแต่ละรายการเป็นการเปลี่ยนแปลงแตกต่างอย่างไรเหตุใดโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินจากจำเลยที่ 1 จึงเป็น การกล่าวอ้างลอย ๆ เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 177 วรรคสอง โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าจ้างที่โจทก์ต้องจ้างผู้อื่นทำการซ่อมแซมแก้ไขความชำรุดบกพร่องเสียหายขึ้นในระหว่างระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันส่งมอบงานจ้างเหมาต่อเรือพิพาทซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 แก้ไขภายใน 30 วันจำเลยที่ 1 ซ่อมแซมแล้วแต่เรือพิพาทยังไม่สามารถใช้การได้จึงต้องให้ผู้อื่นซ่อมแซม ดังนี้หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่อง ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 600,601 แต่กรณีของโจทก์จำเลยที่ 1 ได้มีข้อสัญญาตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต้องผูกพันปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างได้รับแจ้งแล้วไม่ซ่อมแซมให้เรียบร้อยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งผู้ว่าจ้างมีสิทธิจ้างผู้อื่นทำการซ่อมแซมและเรียกค่าจ้างที่ต้องเสียไป ซึ่งเข้าลักษณะจ้างธรรมดาโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1รับผิดได้กรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน599,856 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดภายในวงเงินค้ำประกันจำนวน 495,600 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 559,800 บาท เฉพาะจำเลยที่ 2 ให้เสียดอกเบี้ยในต้นเงิน 459,600 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์จำนวน559,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2ร่วมรับผิดจำนวนเงิน 459,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันและระยะเวลาอย่างเดียวกันคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาในชั้นนี้ว่า 1. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าเรือทั้งสองลำจะต้องซ่อมและแก้ไขระบบต่าง ๆ อะไรบ้างโดยระบุรายละเอียดของแต่ละรายการไว้รวม 10 รายการและโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการซ่อมแซมแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นเงินค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าแรงงานรวม 559,800 บาท อันเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดแล้ว สำหรับรายละเอียดของแต่ละรายการจะต้องใช้เงินเท่าใด เป็นเรื่องที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
2. ในการมอบอำนาจโดยมีเงื่อนไขเฉพาะเรื่องการจำหน่ายสิทธิจะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือมอบอำนาจมีข้อความว่า กรมตำรวจขอทำหนังสือมอบอำนาจให้พันตำรวจเอกวาทินมีอำนาจเป็นโจทก์ดำเนินการฟ้องในการดำเนินการฟ้องร้องดังกล่าวให้ผู้แทนกรมตำรวจในคดีมีอำนาจลงนามตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาได้ตามกฎหมายและมีอำนาจที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาในทางจำหน่ายสิทธิของกรมตำรวจได้เท่าที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมตำรวจเช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้องการประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิหรือการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาหรือในการขอให้พิจารณาใหม่ และให้มีอำนาจที่จะรับเงินหรือทรัพย์สินหรือเอกสารทุกอย่างจากศาลได้นั้น เป็นการมอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยทั้งสองที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว โดยได้ระบุอำนาจในการฟ้องจำเลยทั้งสองทั้งสิทธิในการแต่งตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาได้ตามกฎหมาย สำหรับข้อจำกัดสิทธิในการดำเนินกระบวนพิจารณาในทางจำหน่ายสิทธิซึ่งได้ระบุรายละเอียดไว้เป็นข้อที่สามารถที่จะจำกัดสิทธินั้นได้ไม่ขัดต่อสิทธิและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 โจทก์มีอำนาจฟ้อง
3.ความชำรุดบกพร่องของเรือพิพาทเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 หรือเกิดจากความผิดของโจทก์ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 นำสืบรับกันว่า จำเลยที่ 1รับจ้างเหมาต่อเรือพิพาทโดยโจทก์กำหนดคุณลักษณะของเรือและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกแบบแปลนเรือเมื่อจำเลยที่ 1 ต่อเรือพิพาทเสร็จได้ส่งมอบแก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว หลังจากส่งมอบแล้วเรือพิพาทเกิดการชำรุดบกพร่องไม่สามารถใช้การได้ความชำรุดบกพร่องดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1ซึ่งต่อเรือพิพาทพร้อมติดตั้งเครื่องยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้ครบถ้วนตามสัญญาถึงแม้โจทก์จะได้รับมอบเรือพิพาทไว้แล้ว ก็มิใช่ข้อยกเว้นความรับผิด
4.คำให้การของจำเลยที่ 1 ว่า รายการซ่อม 10 รายการดังกล่าวเป็นการซ่อมเปลี่ยนให้แตกต่างไปจากสัญญาเดิม จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองหรือไม่เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า เรือทั้งสองลำจะต้องซ่อมและแก้ไขระบบต่าง ๆ อะไรบ้าง โดยระบุรายละเอียดของแต่ละรายการไว้รวม 10 รายการ จำเลยที่ 1 ให้การเพียงว่า ความเสียหายที่โจทก์อ้างท้ายฟ้องทั้ง 10 รายการ เป็นการเปลี่ยนแปลงให้แตกต่างไปจากแบบแปลนท้ายสัญญาที่โจทก์จำเลยที่ 1 ทำกันไว้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 โดยมิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าแต่ละรายการเป็นการเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปอย่างไรเหตุใดโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินจากจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าส่วนบกพร่องทั้ง 10 รายการเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากสัญญาเดิมหรือไม่
5.คดีโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี แล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่างานจ้างเหมาต่อเรือพิพาทที่จำเลยที่ 1รับจ้างทำและส่งมอบให้โจทก์แล้วเกิดชำรุดบกพร่องเสียหายขึ้นในระหว่างระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันส่งมอบ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ซ่อมแซมแก้ไขภายใน 30 วัน จำเลยที่ 1 ซ่อมแซมแล้วแต่เรือพิพาทยังไม่สามารถใช้การได้ จึงต้องให้ผู้อื่นซ่อมแซมและแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทั้งค่าอุปกรณ์และค่าแรงงาน รวม 559,800 บาท จึงฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าจ้างที่โจทก์ต้องจ้างผู้อื่นทำการซ่อมแซมแก้ไข ดังนี้หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 อันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 600 เมื่อไม่มีข้อตกลงในสัญญาเป็นอย่างอื่นกล่าวคือ เมื่อได้ส่งมอบงานกันแล้ว แต่ปรากฏงานที่จ้างมีการชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นภายหลัง จึงกำหนดให้ฟ้องคดีภายใน1 ปี นับแต่วันทำการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้น แต่กรณีของโจทก์นี้มีข้อสัญญาตกลงกันไว้ดังกล่าว โจทก์กับจำเลยที่ 1ต้องผูกพันปฏิบัติตามสัญญาต่อกันอยู่อีก จำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างได้รับแจ้งแล้วไม่จัดการแก้ไขหรือซ่อมแซมให้เป็นที่เรียบร้อยภายใน30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ผู้ว่าจ้างมีสิทธิจ้างผู้อื่นทำการซ่อมแซมและเรียกค่าจ้างที่ต้องเสียไปเพราะจ้างผู้อื่นทำการซ่อมแซมนั้นได้ ฉะนั้นเมื่อมีข้อตกลงกันเช่นนี้ จำเลยที่ 1ไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญานั้นย่อมถือว่าเป็นการผิดสัญญา ซึ่งเข้าลักษณะจ้างธรรมดา โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดได้ กรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิมคดีได้ความตามฟ้องโดยจำเลยที่ 1 มิได้โต้เถียงว่า โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 จัดการซ่อมแซมเรือพิพาทเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2528ให้จัดการซ่อมแซมภายใน 30 วัน โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่18 มีนาคม 2531 จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share