คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสองที่ให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายยกข้อค้านเรื่องผิดระเบียบขึ้นกล่าวได้ในเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษาแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นจะใช้กับกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายเพิ่งทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วหาได้ไม่ เพราะเป็นการฝ่าฝืนธรรมชาติที่จะบังคับให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาโดยที่ตนยังไม่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่าไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลย จำเลยไม่ได้มอบอำนาจให้นาง ร.ดำเนินคดีแทนทั้งนางร.ไม่ได้ตั้งให้นาย ม. เป็นทนายความ แต่นาย ม. ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายความตลอดมาเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงผิดดำเนินกระบวนพิจารณาไปจนมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ดังนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่ากระบวนพิจารณาและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบ จำเลยซึ่งได้รับความเสียหายจึงชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินไปโดยผิดระเบียบนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนขายที่ดินแก่โจทก์ โจทก์ได้ชำระราคาที่ดินให้จำเลยครบแล้วและนายอำเภอได้ปิดประกาศว่าผู้ใดจะคัดค้านการขายก็ให้ยื่นคำคัดค้านใน 30 วัน ครบกำหนดแล้วแต่จำเลยไม่ไปจดทะเบียนขายที่ดินแก่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าว หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยโดยนางเรณู ขุมเพ็ชร์ ผู้รับมอบอำนาจให้การว่าโจทก์ไม่ได้ชำระเงินแก่จำเลยตามที่ฟ้องแต่อย่างใด เป็นนิติกรรมอำพรางอันเกิดจากการฉ้อฉลหลอกลวง เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต โจทก์และจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยไม่เคยได้รับหมายเรียกใด ๆ จากศาลในคดีนี้ เพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อได้รับหมายนัดให้ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 275/2530ในวันที่ 20 สิงหาคม 2533 จำเลยขอตรวจสำนวนเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม2533 แล้วจึงได้ทราบว่าตามรายงานของเจ้าหน้าที่ศาลฉบับลงวันที่10 กุมภาพันธ์ 2529 ที่ว่าบิดาจำเลยลงลายมือชื่อรับหมายเรียกและสำเนาฟ้องไว้แทนจำเลยนั้นไม่ใช่ลายมือชื่อของบิดาจำเลยบิดาจำเลยไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องไว้แทนจำเลย การส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา นอกจากนี้ยังปรากฏว่ามีการแอบอ้างว่าจำเลยมอบอำนาจให้นางเรณู ขุมเพ็ชร์ดำเนินคดีแทน ความจริงจำเลยไม่เคยมอบอำนาจให้นางเรณูดำเนินคดีแทนและนางเรณูไม่เคยตั้งนายเมธา บุญทิพย์จำปา ให้เป็นทนายความของจำเลย นายเมธาไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนจำเลยการที่นายเมธายื่นคำให้การและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยไปทั้งหมด จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการผิดระเบียบ ทำให้จำเลยเสียหาย จำเลยไม่มีโอกาสที่จะยื่นคำให้การและนำพยานเข้าสืบหักล้างพยานโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง หากจำเลยได้นำพยานหลักฐานเสนอต่อศาลเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องคำพิพากษาของศาลจะต้องเปลี่ยนไป จึงขอให้ศาลไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งเรียกจำเลยเข้าสู้คดีต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 การร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จึงไม่ชอบและการแก้ไขคำพิพากษาที่ไม่ใช่ข้อผิดหลงเล็กน้อยต้องกระทำโดยศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาเท่านั้นจึงให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของจำเลยได้อ้างเหตุที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการผิดระเบียบไว้ 2 ประการคือ 1. ไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลย กล่าวคือที่เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่าได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้บิดาจำเลยรับไว้แทนนั้นไม่เป็นความจริง 2. จำเลยไม่ได้มอบอำนาจให้นางเรณูดำเนินคดีแทน ทั้งนางเรณูก็ไม่เคยตั้งนายเมธาให้เป็นทนายความของจำเลย ซึ่งการที่ไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173ที่บัญญัติว่า เมื่อศาลได้รับคำฟ้องแล้ว ให้ศาลออกหมายส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเพื่อแก้คดี และการที่จำเลยไม่ได้มอบอำนาจให้นางเรณูดำเนินคดีแทน ทั้งนางเรณูไม่ได้ตั้งนายเมธาเป็นทนายความให้มีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลย นายเมธาย่อมไม่มีอำนาจยื่นคำให้การและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยได้ แต่นายเมธาได้ยื่นคำให้การ และดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายความของจำเลยตลอดมาเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงผิดดำเนินกระบวนพิจารณาไปจนกระทั่งมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ย่อมเห็นได้ชัดแจ้งว่ากระบวนพิจารณาและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบ หากจำเลยต้องผูกพันที่จะต้องถูกบังคับตามคำพิพากษาดังกล่าวโดยไม่อาจจะร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ จำเลยย่อมจะได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความยุติธรรม จำเลยซึ่งได้รับความเสียหายจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินไปโดยผิดระเบียบนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรก ดังนั้นในกรณีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้วได้ความจริงตามคำร้องเพียงใดก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาย้อนไปถึงกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียใหม่ได้เพียงนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีความเห็นว่าการร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจะต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ให้ยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืนมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา เพราะบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า”ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้น คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น ๆ” ย่อมเห็นได้ว่าบัญญัติขึ้นใช้แก่กรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเท่านั้น จะใช้กับกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายเพิ่งทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วหาได้ไม่ เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติที่จะบังคับให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาโดยที่ตนยังไม่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น
พิพากษากลับ ให้รับคำร้องของจำเลยไว้ไต่สวนต่อไป

Share