คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 3 ร้องตะโกนบอกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า”ตีมันให้หมอบเลย” แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 3 ย่อมเห็นได้ว่าการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ไม้ตีทำร้ายผู้ตายที่บริเวณศีรษะและลำตัว อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ ดังนั้น จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำร้ายผู้ตายโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะการทำร้ายดังกล่าวจำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฆ่าผู้ตายโดยเจตนา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนได้ร่วมกันใช้ไม้ตีนายสุทัศน์หรือหน่า สุขสุเมฆ ที่บริเวณศรีษะและลำตัวอย่างแรงหลายครั้ง ทำให้นายสุทัศน์หรือหน่าถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 83 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83ส่วนจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำคุกคนละ 20 ปีจำเลยที่ 3 จำคุก 2 ปี ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ13 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ริบของกลางคำขออื่นให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 จำคุก 20 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ซึ่งไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันใช้ไม้ตีผู้ตายโดยเจตนาฆ่าทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายคดีคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาหรือไม่ โจทก์มีนางสมพร ไกรกัน ร้อยตำรวจตรีจามร สุนทรกิจเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร ผู้จับกุมจำเลยที่ 3ร้อยตำรวจโทขจัดภัย สังข์แก้ว และพันตำรวจโทสมนึก ประเสริฐศรีพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร ผู้สอบสวนคดีนี้เบิกความเป็นพยาน โดยนางสมพรเบิกความว่าพยานและผู้ตายอยู่ในห้องเช่าของตึกหลังเดียวกัน โดยผู้ตายอยู่ชั้นบน พยานและครอบครัวอยู่ชั้นล่าง ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 20 ถึง 21 นาฬิกา ขณะที่พยานกำลังจะเปิดประตูห้องเช่า มีชาย 3 คน มากระชากประตูห้องเพื่อให้ประตูเปิดออก พยานเปิดประตูออกมาพบจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 1เป็นผู้กระชากประตูห้องของพยาน จำเลยที่ 3 ถามพยานว่ารู้จักคนชื่อหน่าหรือไม่ พยานตอบว่าไม่รู้จัก ขณะนั้นนายสุทัศน์หรือหน่าผู้ตายขี่รถจักรยานสองล้อมาจอดหน้าตึกเช่าห่างจากพยานและจำเลยทั้งสามประมาณ 4 เมตร เมื่อจำเลยทั้งสามเห็นผู้ตายก็กรูเข้าไปใช้ไม้ซึ่งจำเลยทั้งสามเตรียมมาล่วงหน้าแล้วตีผู้ตายที่บริเวณศรีษะและลำตัวหลายครั้ง ผู้ตายล้มลง จำเลยทั้งสามใช้ไม้ตีผู้ตายอีกประมาณ 3-4 ครั้ง แล้วจำเลยทั้งสามวิ่งหนีออกไปอีกสักครู่หนึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 วิ่งย้อนกลับมาจากนั้นจำเลยที่ 1 ใช้มือสองข้างเงื้อไม้ที่ถือเข้ามาด้วยตีผู้ตายซึ่งนอนอยู่กับพื้นถูกบริเวณทัดดอกไม้ของผู้ตายเสียงดังโพล๊ะ ผู้ตายนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็วิ่งหนีไป หลังจากนั้นพยานวิ่งไปเรียกคนงานที่โรงงานตรงข้ามตึกเช่าของพยานให้ช่วยพาผู้ตายไปส่งโรงพยาบาล ร้อยตำรวจตรีจามรเบิกความว่า พยานสืบสวนทราบว่าจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายที่ร่วมใช้ไม้เป็นอาวุธตีผู้ตายถึงแก่ความตายพยานและพวกจับกุมจำเลยที่ 3 แจ้งข้อหาจำเลยที่ 3 ว่าร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.10 ร้อยตำรวจโทขจัดภัยและพันตำรวจโทสมนึกต่างเบิกความว่า ในชั้นสอบสวน พยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้ไม้ตีทำร้ายผู้ตาย แต่ปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย และจำเลยที่ 3 ให้การว่าได้ร่วมไปที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 1 และที่ 2จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ไม้ช่วยกันรุมตีผู้ตาย แต่จำเลยที่ 3ไม่ได้ร่วมตี ปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.11 จ.12 และจ.13 ตามลำดับ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวแล้วเห็นว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า นางสมพรซึ่งเป็นประจักษ์พยานของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวเบิกความขัดกับคำเบิกความของพยานโจทก์คนอื่นโดยนางสมพรเบิกความว่าเห็นจำเลยทั้งสามใช้ไม้ตีผู้ตายบริเวณศีรษะและลำตัว แต่พันตำรวจเอกนายแพทย์สุรัส สุรักขฑะ นายแพทย์ผู้ตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายพยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ว่า บริเวณร่างกายของผู้ตายไม่มีรอยฟกช้ำ คำเบิกความของนางสมพรไม่น่าเชื่อถือนั้น เห็นว่า ตามรายงานการตรวจศพเอกสารหมายจ.2 ปรากฏว่านอกจากผู้ตายมีบาดแผลที่บริเวณศีรษะหลายแห่งแล้วผู้ตายยังมีบาดแผลที่บริเวณหลังมือซ้าย ผิวหนังช้ำถลอกขนาด 5 x 3เซนติเมตร และที่บริเวณหลังแถบขวา ผิวหนังช้ำถลอกตามเฉียงขนาด8 x 2 เซนติเมตรด้วย บาดแผลของผู้ตายตามรายงานการตรวจศพดังกล่าวสอดคล้องกับคำเบิกความของนางสมพรที่เบิกความว่า เห็นจำเลยทั้งสามใช้ไม้ตีผู้ตายที่บริเวณศีรษะและลำตัว คำเบิกความของนางสมพรจึงมีน้ำหนักให้เชื่อถือได้และที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่านางสมพรเบิกความไม่อยู่กับร่องกับรอย โดยเบิกความว่าได้ตรวจดูแผนที่เกิดเหตุสังเขปแล้วเห็นว่าถูกต้องจึงลงลายมือชื่อในช่องพยานไว้ในแผนที่เกิดเหตุสังเขปเอกสารหมาย จ.6 แต่ต่อมาทนายจำเลยที่ 1 ได้ทำแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ล.1 ให้นางสมพรตรวจสอบ นางสมพรเห็นว่าถูกต้องและเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า หลอดไฟฟ้าหน้าตึกตามที่นางสมพรเบิกความถึงมิใช่เป็นหลอดไฟฟ้าซึ่งมีลักษณะเป็นโคมติดอยู่หน้าตึกตามแผนที่สังเขป เอกสารหมาย จ.6 แต่เป็นหลอดนีออนซึ่งมีลักษณะยาวติดตั้งอยู่หน้าตึกตามเอกสารหมาย ล.1 นั้นก็ปรากฏว่านางสมพรได้เบิกความว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนแต่ที่นางสมพรสามารถเห็นตัวจำเลยทั้งสามได้เนื่องจากบริเวณทางเข้าตึกแถวมีแสงไฟฟ้าจากหลอดไฟนีออนจำนวน 1 หลอด ชนิดสั้นขนาด 20 วัตต์ติดอยู่บนกันสาดซึ่งสูงประมาณ 2 เมตร สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 5 เมตร คำเบิกความของนางสมพรจึงหาได้ขัดกับคำเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านอันเป็นการเบิกความไม่อยู่กับร่องกับรอยเป็นพิรุธตามที่จำเลยที่ 3 ฎีกาแต่อย่างใดไม่ และเมื่อปรากฏว่านางสมพรไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 3 มาก่อนไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่านางสมพรเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 3 จึงเชื่อได้ว่านางสมพรได้เบิกความไปตามที่ได้รู้เห็นเหตุการณ์มาจริงว่า จำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ไม้ตีทำร้ายผู้ตาย ที่จำเลยที่ 3นำสืบปฏิเสธว่าจำเลยที่ 3 เพียงแต่ร่วมไปในที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 1และที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รุมทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยที่ 3มิได้ร่วมทำร้ายด้วยนั้น แม้จำเลยที่ 3 มีจำเลยที่ 1 และที่ 2เบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 รุมทำร้ายผู้ตายส่วนจำเลยที่ 3 ยืนดูอยู่ห่างออกไป 8 เมตร ก็ตาม แต่ปรากฏจากบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.11 จ.12 และ จ.13 ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ต่างได้ให้การว่า ระหว่างที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ไม้ตีผู้ตายอยู่ จำเลยที่ 3 ร้องตะโกนบอกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า”ตีมันให้หมอบเลย” ซึ่งจำเลยที่ 3 มิได้นำสืบปฏิเสธว่ามิได้ให้การในชั้นสอบสวนเช่นนั้น และจำเลยที่ 2 ก็เบิกความตอบ โจทก์ถามค้านว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายในระหว่างสอบสวนด้วย จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ให้การตามความเป็นจริงต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 3ได้ร้องบอกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตีผู้ตายให้หมอบ การที่จำเลยที่ 3 ร้องบอกจำเลยที่ 1 และที่ 2 เช่นนั้น แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2และการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ไม้ตีทำร้ายผู้ตายที่บริเวณศีรษะและลำตัวนั้น จำเลยที่ 3 ย่อมเห็นได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ ดังนั้นจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำร้ายผู้ตายโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะการทำร้ายดังกล่าว จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83 นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share