คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6084/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คจำนวนเงิน 326,470 บาทจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สินค้าโจทก์ชำรุดทำให้จำเลยเสียหายคิดเป็นเงิน 81,307 บาท จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวน 81,307 บาทเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแล้ว จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยต้องรับผิดเพียง 245,163 บาท โดยมีสิทธิหักเงินจำนวน 81,307บาท และในชั้นฎีกาจำเลยก็ฎีกาทำนองเดียวกัน แสดงว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 245,163 บาท เท่านั้น การที่จำเลยยังคงฎีกาโต้เถียงว่า จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวน 81,307 บาท ตามฟ้องแย้ง เช่นนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง 81,307 บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 334,631.75 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินตามเช็คนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายกางเกงยีนและเสื้อยีน โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะขายกางเกงยีนและเสื้อยีนชนิดเกรดเอหรือชั้นดีไม่ชำรุดหรือมีตำหนิให้แก่จำเลย โดยจะส่งให้ตามสั่งซื้อเป็นงวด ๆ เมื่อโจทก์ส่งให้แล้ว จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คชำระให้ภายใน 15 วัน หลังจากโจทก์ได้ส่งบิลเรียกเก็บ หากกางเกงยีนหรือเสื้อยีนไม่ถูกต้องตามชนิดขนาด และสี มีตำหนิหรือชำรุดเสียหาย โจทก์ยอมรับคืนโดยหักจากราคาของที่ส่งในงวดต่อไปหรือภายหลัง ปรากฏว่ากางเกงยีนและเสื้อยีนที่ขายให้จำเลยครั้งก่อน ๆ ผิดชนิดและขนาด ผิดสี มีตำหนิ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 81,307 บาท จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้ค่ากางเกงยีนดังกล่าวเป็นเงิน 81,307 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์มีสิทธิรับเงินจากจำเลยเพียง 245,163 บาท ขอให้บังคับโจทก์หักกลบลบหนี้เงินค่าเสียหายจำนวน 81,307 บาท จากเงินตามเช็คจำนวน 326,470 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้เป็นหนี้จำเลยตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 326,470 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2533ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คจำนวนเงิน 326,470 บาท จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า สินค้าโจทก์ชำรุดทำให้จำเลยเสียหายคิดเป็นเงิน 81,307 บาท จำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวน 81,307 บาท จึงรับผิดต่อโจทก์เพียง 245,163 บาทเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแล้ว จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยต้องรับผิดเพียง 245,163 บาท โดยมีสิทธิหักเงินจำนวน 81,307บาท และในชั้นฎีกาจำเลยก็ฎีกาทำนองเดียวกัน แสดงว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 245,163 บาทเท่านั้น การที่จำเลยยังคงโต้เถียงว่าจำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวน 81,307 บาทตามฟ้องแย้ง เช่นนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง 81,307 บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า สินค้าที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยไม่มีชำรุดบกพร่อง จำเลยไม่มีหนี้ที่จะหักกลบลบหนี้กับโจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่า สินค้าโจทก์ชำรุดบกพร่องจำเลยมีสิทธิหักเงินจำนวน 81,307 บาทตามฟ้องแย้ง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยมานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share