คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5438/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสแม้ตามกฎหมายจะไม่ถือว่าเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาก็ตาม แต่ก็หากระทบกระเทือนถึงสิทธิในทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยจะพึงมีพึงได้ตามกฎหมายทั่วไปไม่ โจทก์กับจำเลยอยู่กินและมีบุตรด้วยกัน 4 คน โจทก์เป็นแม่บ้านมีหน้าที่เลี้ยงดูบุตร ส่วนจำเลยเป็นผู้ทำมาค้าขายแล้วออกเงินซื้อที่ดินและบ้านพิพาทใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยกันตลอดมา พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยร่วมกันทำมาหากินและมีเจตนาเป็นเจ้าของในทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกัน แม้จำเลยจะให้การว่าโจทก์กับจำเลยเลิกร้างกันได้ตกลงแบ่งที่ดินและบ้านพิพาท และโจทก์ได้รับส่วนแบ่งเป็นเงิน 400,000 บาทไปจากจำเลยแล้ว แต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานไม่ได้กำหนดปัญหานี้เป็นประเด็นข้อพิพาท จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อนี้แล้ว การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกประเด็นข้อดังกล่าวขึ้นฎีกา ศาลล่างทั้งสองมิได้พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสมีบุตรด้วยกัน 4 คน ระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 74998 โดยลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันและปลูกบ้านในที่ดิน ต่อมาโจทก์กับจำเลยได้เลิกร้างการเป็นสามีภริยากัน ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินและบ้านตามฟ้องให้แก่โจทก์โดยโจทก์คิดส่วนแบ่งเป็นเงิน 1,400,000 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยกับโจทก์อยู่กินเป็นสามีภริยาและมีบุตรด้วยกัน 4 คน ตามฟ้องจริง แต่โจทก์ไม่ได้ร่วมซื้อที่ดินและปลูกบ้าน เงินที่ซื้อที่ดินและปลูกบ้านเป็นเงินของจำเลยทั้งสิ้น การที่โจทก์มีชื่อร่วมในโฉนดที่ดินเพราะโจทก์ขอร้องจำเลยให้ลงชื่อโจทก์ด้วย จำเลยต้องการที่ดินและบ้านเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและเลี้ยงดูบุตร จึงได้จัดหาเงินจำนวน 400,000 บาทมอบให้แก่โจทก์ไปเรียบร้อยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ มาเรียกร้องจากจำเลยอีก ขอให้ยกฟ้อง และมีคำสั่งให้เพิกถอนชื่อของโจทก์ออกจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 74998
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เงินค่าที่ดินและบ้านไม่ใช่เงินของจำเลย โจทก์ไม่เคยได้รับเงินส่วนแบ่งจำนวน 400,000 บาท จากจำเลย จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนชื่อโจทก์ออกจากโฉนดที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ถ้าแบ่งไม่ได้ให้เอาออกขายโดยประมูลราคากันเองหรือมิฉะนั้นให้นำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ขายได้มาแบ่งคนละส่วนเท่ากัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งคิดเป็นเงินไม่เกิน 1,400,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์กับจำเลยอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส แม้ตามกฎหมายจะไม่ถือว่าเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาก็ตามแต่ก็หากระทบกระเทือนถึงสิทธิในทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยจะพึงมีพึงได้ตามกฎหมายทั่วไปไม่ โจทก์กับจำเลยอยู่กินและมีบุตรด้วยกัน4 คน จำเลยเบิกความรับว่าโจทก์เป็นแม่บ้านมีหน้าที่เลี้ยงดูบุตรดังนี้ การที่จำเลยเป็นผู้ทำมาค้าขายโดยเปิดอู่ซ่อมและขายรถยนต์และบางครั้งเป็นนายหน้าขายที่ดิน แล้วเป็นผู้ออกเงินซื้อที่ดินและปลูกบ้านพิพาทใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยกันตลอดมา พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันทำมาหากินและมีเจตนาเป็นเจ้าของในทรัพย์ที่ทำมาหาได้นั้นร่วมกัน ทั้งปรากฏว่าโจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของร่วมในโฉนดที่ดินพิพาทอันเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดว่าโจทก์กับจำเลยมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของร่วมกัน นอกจากนี้จำเลยเบิกความว่า เมื่อโจทก์กับจำเลยเลิกร้างกันได้ตกลงแบ่งที่ดินและบ้านพิพาท ซึ่งก็เป็นการยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์ดังกล่าวที่จำเลยอ้างว่าให้โจทก์ใส่ชื่อไว้แทนจึงไม่มีน้ำหนักข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินและบ้านพิพาทที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อโจทก์กับจำเลยเลิกร้างกันได้ตกลงแบ่งที่ดินและบ้านพิพาท และโจทก์ได้รับส่วนแบ่งเป็นเงิน400,000 บาท ไปจากจำเลยแล้วนั้น เห็นว่า ข้อนี้แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานไม่ได้กำหนดปัญหานี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ โดยกำหนดประเด็นเพียงว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลยหรือไม่ เพียงใด จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อนี้แล้ว การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกประเด็นข้อดังกล่าวขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในข้อนี้
ศาลล่างทั้งสองมิได้พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย

Share