คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5267/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมกำหนดให้จำเลยทั้งสี่ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ภายในกำหนดวันที่ 30 ของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2532 เป็นต้นไป หากผิดนัดสองงวดติดต่อกันให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน การที่จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้งวดแรกช้าไป 1 วัน และไม่ได้ชำระงวดที่ 2 จำเลยทั้งสี่จึงผิดนัดสองงวดติดต่อกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ จำเลยทั้งสี่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ถึง 44,714,520.11บาท และต้องผ่อนชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยให้เสร็จภายใน 5 ปีจำเลยทั้งสี่ผ่อนชำระให้โจทก์เพียง 7 ครั้ง เป็นเงินเพียง 3,500,000บาท การที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสี่อีกต่อมาภายหลังที่จำเลยทั้งสี่ผิดนัดนั้นย่อมเป็นการบรรเทาภาระหนี้สินของจำเลยทั้งสี่ที่มีอยู่ต่อโจทก์ ซึ่งเป็นผลดีแก่จำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่จะถือเอาเป็นการผูกมัดโจทก์ว่าโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสาระสำคัญหาได้ไม่ ทั้งโจทก์ได้คัดค้านปฏิเสธข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยทั้งสี่ตลอดมา แม้จำเลยทั้งสี่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2533ต่อมาวันที่ 10 กันยายน 2533 โจทก์ก็ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี แสดงว่าโจทก์ยังถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสาระสำคัญต่อไป

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากจำเลยทั้งสี่ยินยอมร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 44,714,529.11 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยหากผิดนัดชำระสองงวดติดต่อกันให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม ต่อมาจำเลยทั้งสี่ผิดนัดมิได้ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตั้งแต่เดือนแรก และในเดือนต่อมาก็ผิดนัดไม่ชำระอีก โจทก์จึงยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสี่มิได้ผิดนัด และได้ชำระเงินให้โจทก์งวดเว้นงวดตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน 9 งวดแล้ว โจทก์ไม่เคยคัดค้าน ถือว่าโจทก์มิได้ถือเอาการผ่อนชำระเป็นรายงวด งวดละเดือนเป็นสาระสำคัญต่อไป ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทั้งสี่ผิดนัด โดยโจทก์ได้ทักท้วงให้จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความหลายครั้งแล้วแต่จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า การที่จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์งวดเว้นงวดตลอดมาเป็นเวลา 9 งวดนั้น ถือว่าจำเลยทั้งสี่ผิดนัดสองงวดติดต่อกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วเมื่อจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ จึงให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 1 กำหนดว่าจำเลยทั้งสี่จะผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ 500,000 บาท ภายในกำหนดวันที่ 30 ของทุกเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2532เป็นต้นไป จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้งวดแรกวันที่ 31 สิงหาคม 2532 และต่อมาจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้งวดที่ 2 ในวันที่ 30 กันยายน 2532เห็นว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน การที่จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดจำเลยทั้งสี่จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 วรรคสอง การที่จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้งวดแรกช้าไป1 วัน และไม่ได้ชำระงวดที่สอง จำเลยทั้งสี่จึงผิดนัดสองงวดติดต่อกันโจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ ส่วนที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า โจทก์ยอมรับชำระหนี้โดยไม่อิดเอื้อน แสดงว่าโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสำคัญ เห็นว่าคดีนี้จำเลยทั้งสี่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ถึง44,714,529.11 บาท และต้องผ่อนชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยให้เสร็จภายใน 5 ปี จำเลยทั้งสี่ผ่อนชำระให้โจทก์เพียง 7 ครั้งเป็นเงินเพียง 3,500,000 บาท การที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสี่อีกต่อมาภายหลังที่จำเลยทั้งสี่ผิดนัดนั้นย่อมเป็นการบรรเทาภาระหนี้สินของจำเลยทั้งสี่ที่มีอยู่ต่อโจทก์ ซึ่งเป็นผลดีแก่จำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่จะถือเอาเป็นการผูกมัดโจทก์ว่าโจทก์มิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมเป็นสาระสำคัญหาได้ไม่ ทั้งโจทก์ได้คัดค้านและกล่าวในคำแก้อุทธรณ์ฎีกาปฏิเสธข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยทั้งสี่ตลอดมา ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสี่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2533ต่อมาวันที่10 กันยายน 2533 โจทก์ก็ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี แสดงว่าโจทก์ยังถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสาระสำคัญต่อไป
พิพากษายืน

Share