แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การชำระราคาครบถ้วนตามสัญญาจะซื้อจะขายย่อมมีน้ำหนักดีกว่าการชำระราคาบางส่วน จึงถือได้ว่าการชำระหนี้ครบถ้วนเป็นการชำระหนี้บางส่วนได้โดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6781 ต่อมาโจทก์ได้ยกที่ดินแปลงนี้ทางด้านทิศใต้ให้จำเลย 1 ใน 3 ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมด หลังจากนั้นโจทก์จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในส่วนของตนตลอดมา จนกระทั่งเมื่อปี 2531 จำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินส่วนของโจทก์ทางด้านทิศใต้เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่โจทก์ห้ามปรามแล้ว จำเลยบอกขอทำประโยชน์เพียง 1 ปี ต่อมาประมาณกลางเดือนเมษายน 2532 จำเลยได้บุกรุกนำปุ๋ยเข้าไปในที่ดินพร้อมทั้งนำไม้ปักทิ้งไว้ในบ่อปลาของโจทก์ในที่ดินส่วนดังกล่าวโจทก์ห้ามปรามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยและได้นำปุ๋ยเข้าไปลงในที่ดินส่วนดังกล่าวอีกทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อปี 2526 โจทก์ให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6781 ร่วมกับโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 46 ตารางวา โดยโจทก์ได้รับเงินค่าตอบแทนจากจำเลย ส่วนโจทก์มีกรรมสิทธิ์เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 94 ตารางวาต่อมาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2529 โจทก์ได้ขายที่ดินส่วนของโจทก์ให้จำเลยในราคา 50,000 บาท โจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่6 ไร่ 2 งาน 94 ตารางวา ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดยโยธรแทนโจทก์แต่เนื่องจากก่อนหน้าที่โจทก์และจำเลยได้นำที่ดินแปลงพิพาทไปจำนองแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขายโสธรจำเลยจึงขอให้โจทก์นำเงินไปไถ่ถอนจำนองแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยตามสัญญาแต่โจทก์ไม่ยอมกลับไปคัดค้านที่สำนักงานที่ดินจังหวัดยโสธร มิให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ตามใบมอบอำนาจที่โจทก์ทำไว้ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6781ตำบลโพนทัน อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร เนื้อที่ 6 ไร่2 งาน 94 ตารางวา ให้โจทก์นำเงินเฉพาะส่วนของตนไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขายโยธร หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เคยยืมเงินจำเลย ต่อมาโจทก์ได้ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6781 จำนวน 1 ใน 3 ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมดร่วมกับโจทก์ โจทก์ไม่ได้ขายที่ดินให้แก่จำเลยและไม่เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ แม้จะฟังว่าโจทก์ขายที่ดินให้แก่จำเลย แต่การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นโมฆะ จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6781 ตำบลโพนทัน อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดอุบลราชธานี(ปัจจุบันจังหวัดยโสธร) ส่วนของโจทก์เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน94 ตารางวา ให้แก่จำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า การซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือสัญญาจะซื้อขาย โจทก์ฎีกาว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ เห็นว่า การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยว่าจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ตกลงขายที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ให้แก่จำเลยในราคา 50,000 บาทจำเลยได้ชำระราคาที่พิพาทให้แก่โจทก์ไปครบถ้วนแล้ว ส่วนโจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยขายที่พิพาทให้แก่จำเลยแทนโจทก์แต่เนื่องจากที่พิพาทติดจำนองและโจทก์ไม่ไปไถ่ถอนจำนองให้ก่อนตามที่ตกลงกันจึงยังมิได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ จากข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ฟังมาดังกล่าวแสดงว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายแต่ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะมีอุปสรรค เนื่องจากที่พิพาทติดจำนองและโจทก์ไม่ยอมไปไถ่ถอนจำนองให้ก่อนตามที่ได้ตกลงกันไว้ ดังนี้ถือได้ว่าสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจะซื้อขายไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดดังที่โจทก์ฎีกา แม้สัญญาจะซื้อขายจะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายจะต้องรับผิดเป็นสำคัญแต่จำเลยก็ได้ชำระราคาค่าที่พิพาทให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยชำระราคาค่าที่พิพาทให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วถือไม่ได้วาเป็นการชำระหนี้บางส่วนจึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จำเลยจะฟ้องแย้งให้บังคับคดีได้เนื่องจากสัญญาจะซื้อขายมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่จะต้องรับผิดเป็นสำคัญนั้น เห็นว่า การชำระราคาครบถ้วนย่อมมีน้ำหนักดีกว่าการชำระราคาบางส่วน ดังนี้ จึงถือได้ว่าการชำระหนี้ครบถ้วนเป็นการชำระหนี้บางส่วนได้โดยอนุโลม จำเลยมีอำนาจฟ้องแย้งให้บังคับคดีแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน