คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เหตุเกิดเวลากลางคืนมีไฟนีออนเปิดสว่าง โจทก์ร่วมและจำเลยรู้จักกันดี ขณะโจทก์ร่วมนอนอยู่เห็นจำเลยปีนหน้าต่างเข้ามาแล้วใช้ไม้ตีโจทก์ร่วมเอาสร้อยคอทองคำไปแล้วตีซ้ำอีก 2 ที เมื่อโจทก์ร่วมฟื้นขึ้นมาได้พบ ค.ซึ่งเป็นบิดาก็ได้บอกค. ว่าคนร้ายคือจำเลย ค. ได้รีบไปแจ้งความและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยได้ ค. พยานโจทก์ก็ได้เบิกความยืนยันรับรองข้อเท็จจริงดังกล่าว โจทก์ร่วมและจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันไม่มีข้อน่าระแวงว่า โจทก์ร่วมจะเบิกความใส่ร้ายจำเลยพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงเชื่อถือได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 33ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 14 ริบไม้ของกลางและให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ชิงไปหรือใช้ราคา2,480 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายเรวัตร สุวรรณมาโจ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสี่ จำคุก 15 ปี ริบของกลาง ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 2,480 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริงหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้ไม้ตีโจทก์ร่วมแล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมไป ได้พิจารณาคำเบิกความของโจทก์ร่วมแล้ว ได้ความว่า โจทก์ร่วมและจำเลยรู้จักกันดีและในคืนนั้นก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมมานอนเฝ้าโรงเรียนแทนบิดา โดยมีจำเลยและเพื่อนของโจทก์ร่วมอีกหลายคนมาอยู่ด้วย ครั้นเวลาประมาณ24 นาฬิกา เพื่อนบางคนได้กลับไป คงเหลือแต่โจทก์ร่วม จำเลยนายบุญยง นายมานพ และนายโสภณ ต่อมาเวลาประมาณ 2 นาฬิกาจำเลยกับพวกที่เหลือจึงพากันกลับไปคงเหลือแต่โจทก์ร่วมคนเดียวเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ขณะโจทก์ร่วมนอนอยู่นั้นได้ยินเสียงคนปีนหน้าต่างเข้ามาได้มองดูก็เห็นเป็นจำเลย จำเลยใช้ไม้ตีโจทก์ร่วมเอาสร้อยคอทองคำไปแล้วตีซ้ำอีก 2 ที เห็นว่าขณะนั้นมีไฟฟ้านีออนเปิดสว่าง จึงเชื่อได้ว่าโจทก์ร่วมเห็นและจดจำจำเลยได้เพราะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว นอกจากนั้นเมื่อโจทก์ร่วมฟื้นขึ้นมาได้พบนายคูณบิดาก็ได้บอกนายคูณว่าคนร้ายคือจำเลย นายคูณได้รีบไปแจ้งความและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยได้ นายคูณพยานโจทก์ก็ได้เบิกความยืนยันรับรองข้อเท็จจริงดังกล่าว โจทก์ร่วมและจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ไม่มีข้อน่าระแวงว่าโจทก์ร่วมจะเบิกความใส่ร้ายจำเลย พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้องโจทก์ ที่จำเลยอ้างในฎีกาว่า คำเบิกความของโจทก์ร่วมมีพิรุธหรือขัดกับเหตุผลนั้นไม่มีน้ำหนักรับฟังดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยไว้แล้ว พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share