แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การตรวจค้นการจับกุมและการสอบสวนเป็นการดำเนินการคนละขั้นตอนกันหากการตรวจค้นและจับกุมมิชอบด้วยกฎหมายก็เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหากเมื่อคดีนี้มีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามกฎหมายแล้วแม้การตรวจค้นและจับกุมมีปัญหาว่าอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายก็หากระทบกระเทือนถึงการฟ้องคดีอาญาไม่ทั้งจำเลยมิได้ฎีกาว่าการสอบสวนไม่ชอบเพราะเหตุผลอื่นๆอีกจึงต้องถือว่าการสอบสวนในความผิดที่กล่าวหาตามฟ้องนั้นชอบแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใดจึงลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา106ทวิไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106 ทวิ จำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายมามอบให้พนักงานสอบสวน พร้อมด้วยวัตถุออกฤทธิ์จำนวนหนึ่งซึ่งบรรจุอยู่ในซองพลาสติกเป็นของกลาง ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจตรีนิราช เพชรุจี และพลตำรวจไพวัลย์ มั้งสั้นเจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นและจับกุมจำเลยมาเบิกความ โดยพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความทำนองเดียวกันว่า ในวันเกิดเหตุได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชีให้ไปตรวจค้นรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 8 บ-9275กรุงเทพมหานคร ซึ่งคนขับนำอาหารและกับข้าวไปเร่ขายให้แก่ประชาชนบริเวณหน้าบ้านพักคนงานบริษัทฮ้อแสงชัย จำกัด ที่ถนนสายในปทุมธานี และลักลอบขายเมทแอมเฟตามีนด้วย จึงนำกำลังเจ้าพนักงานตำรวจไปซุ่มรออยู่ที่บริเวณดังกล่าวจนกระทั่งเวลา 17 นาฬิกาจำเลยขับรถยนต์คันดังกล่าวมาจอดหน้าตึกแถว จึงพากันตรงเข้าไปขอตรวจค้นในขณะที่จำเลยซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับยังมิได้ลงจากรถ เมื่อจำเลยลงจากรถแล้วจึงทำการตรวจค้นพบวัตถุออกฤทธิ์(เมทแอมตาเฟมีน) บริเวณเบาะรถยนต์ที่นั่งคนขับ บรรจุอยู่ในซองพลาสติก ตรวจนับแล้วมีจำนวน 40 เม็ด จึงแจ้งข้อหาว่าขายและมีวัตถุออกฤทธิ์โดยผิดกฎหมาย นำตัวจำเลยไปมอบให้ร้อยตำรวจเอกประสงค์ บุราณเดช ทำการสอบสวน ส่วนจำเลยนำสืบว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นขณะที่จำเลยและนางสีไพกำลังขายกับข้าวให้แก่ผู้ที่มาซื้ออยู่ที่กระบะหลังไม่เห็นการตรวจค้น เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจค้นและจับกุมจำเลยดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานของรัฐมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดกฎหมาย เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาก็ได้ปฏิบัติงานไปตามอำนาจหน้าที่ ทั้งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะแกล้งกล่าวหาและจับกุมจำเลย พยานโจทก์ทั้งสองคนต่างก็เบิกความว่า ขณะที่ตรวจค้นพบวัตถุออกฤทธิ์ของกลางจำเลยยืนอยู่ก็ใกล้ ๆมิใช่ตรวจค้นลับหลังดังที่จำเลยนำสืบ การที่จำเลยอ้างว่าของกลางมิใช่ของจำเลยเท่ากับยอมรับว่าเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบของกลางที่เบาะนั่งตรงคนขับซึ่งจำเลยซึ่งจะลุกออกมา ฟังได้ว่าจำเลยมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองจริง ส่วนที่จำเลยอ้างว่าของกลางมีจำนวนไม่ถึง 40 เม็ดนั้น นอกจากโจทก์จะมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยดังกล่าวแล้ว ยังมีร้อยตำรวจเอกประสงค์ บุราณเดชพนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า ได้รับตัวจำเลยไว้จากสิบตำรวจตรีนิราชพร้อมเมทแอมเฟตามีน 40 เม็ด เมื่อส่งของกลางไปตรวจพิสูจน์ได้รับการยืนยันว่าเป็นเมทแอมเฟตามีนของจริง และมีร้อยตำรวจโทชาติชาย สุวัชระเวช ผู้ทำการตรวจพิสูจน์ของกลางมาเบิกความประกอบรายงานการพิสูจน์เอกสารหมาย ป.จ.1 ว่าวัตถุออกฤทธิ์ เมทแอมเฟตามีน ของกลางมีจำนวน 40 เม็ด ส่วนจำเลยมีคำเบิกความของจำเลยกับนางสีไพ โดยจำเลยเบิกความว่าเห็นของกลางเป็นลักษณะซองใส่ยาสีขาว ภายในซองมีเม็ดยาลักษณะสีขาวอมน้ำตาล กะดูด้วยสายตามีไม่ถึง 20 เม็ด นางสีไพเบิกความว่าเห็นของกลางตรงโต๊ะสิบเวรเทออกมาเป็นยาสีน้ำตาลเม็ดเล็ก ๆส่วนใหญ่จะเป็นพวกแตกป่นมากกว่าเป็นเม็ดเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้นับโดยละเอียดสรุปว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน พยานกะดูด้วยสายตาแล้วเม็ดที่สมบูรณ์มีประมาณ 10 เม็ด จากพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยจะเห็นได้ว่าโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารน่าเชื่อถือมากกว่าพยานจำเลยที่เบิกความเป็นทำนองกะประมาณเอาเองว่ามีไม่มากถึงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จึงฟังได้ว่าวัตถุออกฤทธิ์ของกลางมีจำนวน 40 เม็ด ดังที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดหรือไม่นั้น เนื่องจากมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 92 (พ.ศ. 2538) ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 85 (พ.ศ. 2536) โดยกำหนดปริมาณที่เป็นสารบริสุทธิ์แล้ว และเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด จึงลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 106 ทวิ ไม่ได้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปคือจำเลยมีวัตถุออกฤทธิ์จำนวนดังกล่าวเพื่อขายหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบวัตถุออกฤทธิ์ของกลางทั้งหมดบรรจุอยู่ในซองพลาสติกซองเดียวแม้จะมีจำนวน 40 เม็ด แต่มีน้ำหนักรวมเพียง 3.51 กรัม ซึ่งไม่มากนัก ดังจะเห็นได้จากรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย ป.จ.1ว่าวัตถุออกฤทธิ์ของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์และไม่มีพฤติการณ์ใด ๆ ที่แสดงว่าจำเลยมีไว้เพื่อขายโจทก์นำสืบแต่เพียงว่าสืบทราบมาก่อนที่จะเข้าตรวจค้นและจับกุมจำเลยเท่านั้น แม้จะมีคำเบิกความของพันตำรวจตรีพงศ์วิวัฒน์ การดี พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าได้รับแจ้งพฤติการณ์ของจำเลยทางจดหมายมีพลเมืองดีโทรศัพท์มาแจ้ง 3 ครั้ง ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ก็เป็นการเลื่อนลอยไม่อาจรับฟังว่าจำเลยมีวัตถุออกฤทธิ์ของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขาย จำเลยอาจมีไว้เพื่อเสพเองก็ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีวัตถุออกฤทธิ์ของกลางไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นความผิดซึ่งมีโทษเบากว่า ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะลงโทษในความผิดนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย และเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนที่จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า เจ้าพนักงานตำรวจค้นและจับจำเลยโดยไม่ชอบ เพราะเป็นการค้นในที่รโหฐานและมิใช่เป็นการค้นโดยพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และไม่ได้ทำบันทึกการจับกุมในที่เกิดเหตุนั้น เห็นว่า การตรวจค้นการจับกุมและการสอบสวนเป็นการดำเนินการคนละขั้นตอนกัน หากการตรวจค้นและจับกุมจะมิชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยฎีกาก็เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีนี้มีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามกฎหมายแล้ว แม้การตรวจค้นและจับกุมมีปัญหาว่าไม่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็หากระทบกระเทือนถึงการฟ้องคดีอาญาไม่ จำเลยมิได้ฎีกาว่าการสอบสวนไม่ชอบเพราะเหตุผลอื่น ๆ อีก จึงต้องถือว่าการสอบสวนในความผิดที่กล่าวหาตามฟ้องนั้นชอบแล้ว”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6,62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก จำเลย 1 ปี