คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ต่อเนื่องจากการครอบครองของด. เจ้าของที่ดินเดิมที่ขายต่อให้จำเลยแต่จากคำเบิกความของด. ที่ว่าตนได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางเดินไปสู่ร้านอาหารด้านหนึ่งโดยคิดว่าเป็นทางสำหรับคนใช้ทั่วไปส่วนการใช้ประโยชน์ในการวางยางรถยนต์ที่ใช้แล้วนั้นก็เป็นการวางไว้ไม่เป็นระเบียบเพื่อใครจะนำไปใช้ต่ออันเป็นการบ่งชี้ชัดว่าด. ไม่ได้คิดครอบครองทางพิพาทในฐานะเจ้าของเพราะแม้แต่ยางรถยนต์ที่เลิกใช้ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของด. โดยแท้ด. ก็มิได้หวงแหนลักษณะการวางยางรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นการทิ้งมากกว่าทั้งก็มิได้ทำการปิดกั้นเป็นส่วนสัดในที่พิพาทเพื่อประโยชน์ในการทิ้งยางรถยนต์ด้วยตรงกันข้ามเป็นถนนสาธารณะมากกว่าการใช้ประโยชน์ในลักษณะที่ปรากฏนี้จึงได้ความชัดว่ามิได้มีเจตนายึดถือโดยมุ่งในสิทธิของที่พิพาทว่าเป็นของตนจึงมิใช่การครอบครองปรปักษ์ที่จำเลยจะอ้างเพื่อเป็นระยะเวลาต่อเนื่องได้การครอบครองที่เป็นส่วนสัดเพิ่งมีขึ้นโดยการกระทำของจำเลยนับระยะเวลาเริ่มแต่จำเลยซื้อที่ดินจากด. ตั้งแต่ปีพ.ศ.2529ถึงพ.ศ.2534ยังไม่ครบ10ปีจำเลยจึงไม่ได้สิทธิในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินบริวารและรื้อถอนทรัพย์สินสิ่งก่อสร้างของจำเลยหรือบริวารทั้งหมดออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5846 ตำบลสามเสนในฝั่งเหนือ อำเภอบางซื่อกรุงเทพมหานคร และปรับปรุงที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิมด้วยเงินของจำเลยเอง หากจำเลยขัดขืนหรือเพิกเฉยให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการขนย้ายและรื้อถอนทั้งหมด และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 100,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การกับฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากเจ้าของเดิมด้วยความสงบโดยเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2515 เกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง และขอให้พิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์เนื้อที่ 3 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์และบังคับให้โจทก์ดำเนินการแบ่งแยกโฉนดที่ดินเนื้อที่ 3 ตารางวาออกจากโฉนดเลขที่ 5846 พร้อมจดทะเบียนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาด้วย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามกฎหมายแต่อย่างใดขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินบริวารและรื้อถอนทรัพย์สินสิ่งก่อสร้างหรือบริวารทั้งหมดออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5846 ตำบลสามเสนในฝั่งเหนือ อำเภอบบางซื่อกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทและเป็นของโจทก์กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม2534 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทคำขออื่นนอกจากที่กล่าวให้ยก สำหรับฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์และให้จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ คำขออื่นของจำเลยนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยได้สิทธิในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ เห็นว่า จำเลยอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ต่อเนื่องจากการครอบครองของนายดิลก นิพันธ์เจริญ เจ้าของที่ดินเดิมที่ขายต่อให้จำเลยนั้น แต่จากคำเบิกความของนายดิลกซึ่งมาเบิกความในฐานะพยานจำเลยว่าที่พิพาทมีสภาพเป็นทางเข้าออกและนายดิลกได้ใช้ที่พิพาทเป็นประโยชน์แก่นายดิลกคือใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินไปสู่ร้านอาหารด้านหนึ่ง และตอบทนายโจทก์ถามค้านด้วยว่าคิดว่าทางพิพาทสำหรับคนใช้ทั่วไป ส่วนการใช้ประโยชน์ในการวางรถยนต์ที่ใช้แล้วนั้น ก็เป็นการวางไว้ไม่เป็นระเบียบ เพื่อใครจะนำไปใช้ต่อประโยชน์จากที่ดินพิพาทของนายดิลกที่ยืนยันดังกล่าวในรูปทางเดินบ่งชี้ชัดว่านายดิลกไม่ได้คิดครอบครองทางพิพาทในฐานะเจ้าของ ตรงกันข้ามเป็นถนนสาธารณะมากกว่าจึงมิใช่เป็นการใช้ในลักษณะยึดถือครอบครองเพื่อกรรมสิทธิ์ในทางพิพาทเพื่อตน ส่วนการวางยางรถยนต์ที่เลิกใช้โดยไม่เป็นระเบียบและเพื่อใครจะนำไปใช้ก็ได้นั้น ยิ่งเป็นเจตนาชัดแจ้งของนายดิลก แม้แต่ยางรถยนต์ที่เลิกใช้ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายดิลกเองโดยแท้นายดิลกก็มิได้หวงแหน ลักษณะการวางยางรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นการทิ้งมากกว่า และก็มิได้ปรากฏมีการปิดกั้นเป็นส่วนสัดในที่พิพาทเพื่อประโยชน์ในการทิ้งยางรถยนต์เก่าดังกล่าวของนายดิลกด้วย การใช้ประโยชน์ในลักษณะที่ปรากฏนี้จึงสรุปได้ความชัดว่า มิได้มีเจตนายึดถือโดยมุ่งในสิทธิของที่ดินพิพาทว่าเป็นของตน จึงมิใช่การครอบครองปรปักษ์ที่จำเลยจะอ้างเพื่อเป็นระยะเวลาต่อเนื่องได้ การครอบครองที่เป็นส่วนสัดเพิ่งมีขึ้นโดยการกระทำของจำเลยไม่ว่าจะรูปใด เมื่อนับระยะเวลาแล้วซึ่งเริ่มแต่จำเลยซื้อที่ดินจากนายดิลกเป็นต้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2529 ถึง พ.ศ. 2534 ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงไม่ครบ 10 ปีจำเลยจึงไม่ได้สิทธิในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share