แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้การเป็นพยานจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่พลเมืองดีก็ตามแต่บางครั้งพยานก็อาจไม่ต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีแม้ตนจะเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ก็ตามทั้งนี้อาจเป็นเพราะเกิดความกลัวหรือเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับจะนำภัยมาถึงตนและครอบครัวก็เป็นได้ยิ่งผู้ตายเป็นคนต่างท้องถิ่นส่วนจำเลยเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันและขณะนั้นยังจับคนร้ายไม่ได้อีกด้วยในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจพบท. สอบถามแล้วไม่ยอมให้การมีลักษณะท่าทางกลัวจึงน่าเชื่อว่าที่ท. ไม่ยอมระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายและที่บอกว่าคนร้ายสองคนเคยเห็นหน้ามาก่อนมาถ้าเห็นหน้าอีกจำได้นั้นคงมิใช่เพราะท.ไม่รู้จักคนร้ายแต่เป็นเพราะกลัวว่าหากระบุชื่อคนร้ายไปอาจจะนำภัยมาถึงตนหรือครอบครัวมากกว่าดังนั้นการที่ท. ไม่ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายในวันเกิดเหตุจึงหาเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้น้ำหนักของคำเบิกความของท. ที่ยืนยันว่าจำเลยกับอ.เป็นคนร้ายเสียไปไม่เมื่อรับฟังประกอบกับพฤติการณ์ที่จ.พบเห็นจำเลยกับพวกก่อนและหลังเกิดเหตุและพฤติการณ์ที่พันตำรวจโทว. สืบทราบว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายจนยึดรถจักรยานยนต์ของโจทก์ได้และรายงานต่อผู้บังคับบัญชาพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 288, 289, 339, 340 ตรี พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7), 339 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามมาตรา 289(7) อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ นายอุดมหรือไข่นุ้ย แก้วอุดมจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1730/2533 ของศาลชั้นต้นกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายสุชาติ กระโพธิ์ผู้ตาย 1 นัด กระสุนปืนถูกที่บริเวณราวนมขวาแล้วชิงเอารถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ตรัง ง-8290 ราคา 51,000 บาท ของผู้ตายไปและผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมามีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับนายอุดมชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานคือ นางทัศนาพร พรหมแสงเบิกความว่าวันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุผู้ตายซึ่งมีอาชีพเร่ขายเครื่องไฟฟ้าได้ขับรถจักรยานยนต์นำเครื่องไฟฟ้าไปเสนอขายให้พยานที่บ้านของพยานและทดลองการใช้ให้พยานดูด้วยระหว่างนั้นจำเลยซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันและนายอุดมเดินเข้ามาในบ้าน จำเลยนั่งลงที่ประตูบ้าน ส่วนนายอุดมยืนอยู่ที่ประตูบ้านจำเลยพูดกับผู้ตายว่าให้ไปที่บ้านจะได้ซื้อเครื่องไฟฟ้าด้วย จากนั้นผู้ตายเก็บเครื่องไฟฟ้าใส่กล่องแล้วเดินออกจากบ้านไปที่รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ จำเลยและนายอุดมเดินตามออกไปขณะเดียวกันบุตรชายอายุ 5 ขวบเศษของพยานเดินตามไปด้วยพยานจึงเดินตามบุตรชายออกมายืนอยู่ที่มุมบ้านจำเลยบอกนายอุดมให้ชิงทรัพย์ผู้ตาย นายอุดมเข้ายื้อแย่งสิ่งของจากผู้ตาย จำเลยชักอาวุธปืนออกมาจ้องไปที่หน้าอกของผู้ตายและพูดว่าเอามา เอามา บุตรชายพยานวิ่งออกจากบ้านไปทางทิศตะวันตกพยานจึงวิ่งตามไป ขณะพยานวิ่งไปถึงมุมบ้านได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางที่จำเลยกับนายอุดมและผู้ตายอยู่ 1 นัด พยานวิ่งกลับมาดูเห็นผู้ตายเอามือกุมหน้าอกวิ่งออกไปทางหน้าบ้านและร้องขอความช่วยเหลือ ส่วนจำเลยและนายอุดมขับรถจักรยานยนต์ของผู้ตายนั่งซ้อนท้ายหลบหนี เห็นว่า เหตุเกิดขึ้นในเวลากลางวันนางทัศนาพรรู้จักจำเลยมาก่อนเพราะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบริเวณบ้านไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ทั้งไม่ปรากฏว่านางทัศนาพรมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยและนางทัศนาพรเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่จำเลยกับนายอุดมได้เข้าไปเกี่ยวข้องทำทีจะซื้อเครื่องไฟฟ้าจากผู้ตาย นายอุดมเข้าไปยื้อแย้งจะเอาทรัพย์ของผู้ตายจนเสียงปืนดังขึ้น แล้วจำเลยและนายอุดมขับรถจักรยานยนต์ของผู้ตายนั่งซ้อนท้ายหลบหนีโดยมีข้อความติดต่อเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผล แม้ประจักษ์พยานโจทก์ที่เบิกความถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้เป็นพยานเดียว แต่ก็ไม่มีพิรุธในการตอบคำถามค้านคำเบิกความของนางทัศนาพรจึงมีเหตุผลอันควรรับฟังที่จำเลยโต้แย้งว่าในวันเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุแล้วเจ้าพนักงานสอบสวนได้ออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุสอบถามนางทัศนาพรเกี่ยวกับคนร้ายนางทัศนาพรก็มิได้ระบุว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายเพื่อจะได้ติดตามจำเลยมาลงโทษที่นางทัศนาพรไม่ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้าย แสดงว่านางทัศนาพรไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายนั้นเห็นว่า แม้การเป็นพยานจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่พลเมืองดีก็ตามแต่บางครั้งพยานก็อาจไม่ต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีแม้ตนจะเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ก็ตาม ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเกิดความกลัวหรือเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับจะนำภัยมาถึงตนและครอบครัวก็เป็นได้ ยิ่งผู้ตายเป็นคนต่างท้องถิ่นส่วนจำเลยเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน และขณะนั้นยังจับคนร้ายไม่ได้อีกด้วย ความข้อนี้ปรากฏตามคำเบิกความของพันตำรวจโทวุฒิชัย คำพุทธในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1730/2533 ของศาลชั้นต้นตามเอกสารหมาย ป.จ.4 ว่า ในวันเกิดเหตุ พยานได้พบนางทัศนาพรสอบถามแล้วไม่ยอมให้การมีลักษณะท่าทางกลัว ดังนี้ จึงน่าเชื่อว่าที่นางทัศนาพรไม่ยอมระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายและบอกแก่ร้อยตำรวจเอกสมชาย โพธิ์พัฒน์ ในวันเกิดเหตุว่าคนร้ายสองคนเคยเห็นหน้ามาก่อน ถ้าเห็นหน้าอีกจำได้นั้นคงมิใช่เพราะนางทัศนาพรไม่รู้จักคนร้ายแต่เป็นเพราะกลัวว่าหากระบุชื่อคนร้ายไปอาจนำภัยมาถึงตนหรือครอบครัวมากกว่าที่นางทัศนาพรไม่ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายในวันเกิดเหตุหาเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้น้ำหนักของคำเบิกความของนางทัศนาพรที่ยืนยันว่า จำเลยกับนายอุดมเป็นคนร้ายเสียไปไม่ และโจทก์มีนายเจริญ แก้วขาวผ่อง ซึ่งเป็นญาติของจำเลยเป็นพยานเบิกความว่าพยานเปิดร้านซ่อมรถจักรยานยนต์อยู่ห่างบ้านของนางทัศนาพรประมาณ 500 เมตร สามารถมองเห็นกันได้ วันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 ชั่วโมง จำเลยและนายอุดมมานั่งเล่นอยู่ที่หน้าร้านของพยาน หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง เห็นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์บรรทุกกล่องกระดาษผ่านหน้าร้านของพยานไปทางบ้านนางทัศนาพรต่อมาประมาณ 20 นาที จำเลยกับนายอุดมได้ออกจากร้านของพยานไป หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางบ้านนางทัศนาพร 1 นัด และเห็นนายอุดมขับรถจักรยานยนต์โดยมีจำเลยนั่งซ้อนท้ายแล่นออกไปนอกจากนี้ โจทก์มีพันตำรวจโทวุฒิชัย คำพุทธ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุพยานกับพวกได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุและติดตามคนร้าย จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่า คนร้ายที่ยิงผู้ตายแล้วชิงเอารถจักรยานยนต์ของผู้ตายไปคือ จำเลยซึ่งเป็นวัยรุ่นมีที่อยู่ในท้องที่เกิดเหตุส่วนคนร้ายอีกคนเป็นคนจังหวัดอื่น วันรุ่งขึ้นพยานกับพวกติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ซึ่งจำเลยกับพวกนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะห่างจากบ้านเกิดเหตุประมาณ 2 ถึง 3 กิโลเมตรเหตุที่ยึดรถจักรยานยนต์ของผู้ตายเพราะมีประชาชนซึ่งไม่กล้าเปิดเผยชื่อแจ้งว่า หลังเกิดเหตุเห็นจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนนำไปซุกซ่อนไว้ ตามบันทึกการยึดรถของกลางเอกสารหมาย ป.จ.1 และวันเดียวกันพันตำรวจโทวุฒิชัยได้วิทยุรายงานเหตุต่อผู้บังคับบัญชาโดยระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายด้วยตามเอกสารหมาย ป.จ.2 เห็นได้ว่า พันตำรวจโทวุฒิชัยทราบว่า จำเลยกับพวกเป็นคนร้ายตั้งแต่วันเกิดเหตุ พฤติการณ์ที่นายเจริญพบเห็นจำเลยกับพวกก่อนและหลังเกิดเหตุ และพฤติการณ์ที่พันตำรวจโทวุฒิชัยติดตามสืบสวนหาตัวคนร้ายจนยึดรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้และรายงานต่อผู้บังคับบัญชาดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน เมื่อรับฟังมาประกอบคำเบิกความของนางทัศนาพรแล้ว ทำให้คำเบิกความของนางทัศนาพรที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายมีน้ำหนักยิ่งขึ้น พยานหลักฐานโจทก์จึงเชื่อได้มั่นคง โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับนายอุดม จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1730/2533 ของศาลชั้นต้นชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตาย ที่จำเลยนำสืบต่อสู้คดีโดยอ้างฐานที่อยู่ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน