คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6005/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้จ.ต่อมาจ.ทำเช็คพิพาทหายไปจึงไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจและจำเลยได้แจ้งอายัดเช็คต่อธนาคารไว้ต่อมาจ.ทราบว่าเช็คพิพาทถูกลักไปและอยู่ที่โจทก์จ.แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์รับว่าจะคืนเช็คให้แต่กลับนำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังนี้คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าขณะที่โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมานั้นโจทก์รู้ว่าเป็นเช็คที่ถูกลักมาหรือโจทก์ได้มาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอย่างไรเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่จะต้องสละเช็คพิพาทนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา905วรรคสองและวรรคสามจึงไม่มีเหตุที่จะให้รับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2536 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2536 ผู้มีชื่อได้นำเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดสาขาเฉลิมนคร ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2536 จำนวนเงิน560,950 บาท ซึ่งมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแก่ผู้ถือมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ เมื่อถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินในวันที่ 22 มิถุนายน 2536โดยให้เหตุผลว่า “มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย” โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 11,526 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 560,590 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อเพชรให้แก่นายจูซาร์ การ์พาเดียหรืออีกชื่อหนึ่งว่านายซูซาร์ มูลาร์โมฮัมหมัด ต่อมานายจูซาร์ทำเช็คพิพาทหายไปและแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจแล้วนำแจ้งให้จำเลยทราบเพื่ออายัดเช็คจำเลยจึงแจ้งอายัดเช็คต่อธนาคารเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2536 ภายหลังนายจูซาร์ทราบว่าเช็คพิพาทถูกนายมานิชหรือมานิตย์ กุมาร์ลักไปและเช็คพิพาทอยู่ที่โจทก์ จึงแจ้งให้โจทก์ทราบและพากันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจไว้เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2536โดยโจทก์รับว่าจะคืนเช็คพิพาทให้นายจูซาร์ แต่โจทก์ก็ไม่คืนให้และนำเช็คพิพาทมาฟ้องคดีนี้ ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 560,950 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 11,526 บาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติจากคำฟ้องและคำให้การจำเลยว่า จำเลยได้ออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงิน 560,950 บาทซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ และโจทก์เป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทมาจริง ดังนั้นโจทก์จึงเป็นผู้ถือย่อมเป็นผู้ทรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 704
สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จำเลยฎีกาในประการแรกว่า จำเลยให้การไว้ชัดแจ้งแล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยให้การเพียงว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้นายจูซาร์ การ์พาเดีย ต่อมานายจูซาร์ทำเช็คพิพาทหายไป จึงไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจและจำเลยได้แจ้งอายัดเช็คต่อธนาคารไว้ ต่อมานายจูซาร์จึงทราบว่าเช็คพิพาทถูกลักไปและอยู่ที่โจทก์ นายจูซาร์แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์รับว่าจะคืนเช็คให้แต่กลับนำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าขณะที่โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมานั้นโจทก์รู้ว่าเป็นเช็คที่ถูกลักมาหรือโจทก์ได้มาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอย่างไร เป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่จะต้องสละเช็คพิพาทนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 905 วรรคสองและวรรคสาม จึงไม่มีเหตุผลที่จะให้รับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน

Share