คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5112/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่1และต.สามีจำเลยที่1ผู้เป็นบิดาของจำเลยที่2และที่3ได้อุทิศที่ดินบางส่วนอันเป็นที่ดินของจำเลยที่1และของจำเลยที่2กับที่3ที่มีแนวเขตติดต่อกันให้ใช้ตัดถนนสายพิพาทถนนสายพิพาทตลอดสายได้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(2)ทันทีที่จำเลยที่1และต.ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลยที่2และที่2แสดงเจตนาอุทิศให้แม้ทางราชการตัดถนนสายใหม่ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนสายพิพาททำให้ไม่มีประชาชนใช้ถนนเฉพาะส่วนที่เป็นที่พิพาทอีกหรือแม้ต.จะได้อุทิศที่พิพาทให้ตัดถนนสายพิพาทโดยมีเงื่อนไขต่อผู้มาเจรจาขอให้อุทิศส่วนที่เป็นที่พิพาทไว้ว่าหากทางราชการได้ตัดถนนสายใหม่แล้วให้ยกเลิกถนนสายพิพาทส่วนที่เป็นที่พิพาทเสียก็ตามก็หาทำให้ถนนสายพิพาทตลอดสายสิ้นสภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปไม่ ถนนส่วนที่เป็นที่พิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้วสภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหาได้สูญสิ้นไปเพราะการไม่ได้ใช้ไม่แม้จำเลยจะได้ครอบครองถนนบริเวณที่เป็นที่พิพาทเป็นเวลานานเท่าใดก็ตามก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาที่ดินส่วนที่เป็นที่พิพาทกลับคืนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้อีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1306การที่จำเลยร่วมกันขุดไถ่ทำลายถนนส่วนที่เป็นที่พิพาทรวมทั้งการร่วมกันนำเสาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาไม้จำนวนหลายต้นไปปักลงในส่วนของถนนที่ถูกขุดไถทำลายและการที่จำเลยร่วมกันนำเสาไปปักติดป้ายบอกข้อความว่าถนนดังกล่าวเป็นทางส่วนบุคคลที่จำเลยสงวนสิทธิย่อมเป็นการทำให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของกรุงเทพมหานครโจทก์เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับนายต่วนผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันแสดงเจตนาอุทิศที่ดินของตนเฉพาะในส่วนที่ติดถนนหนองแขม – บางบอน สายเดิม ตัดผ่านให้ประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางสาธารณะตลอดมาถึงวันที่จำเลยที่ 2และที่ 3 มีอายุบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3ก็ร่วมกันแสดงเจตนาอุทิศที่ดินของตนให้เป็นถนนสาธารณะต่อไปซึ่งประชาชนทั่วไปยังคงใช้เป็นทางคมนาคมสัญจรไปมาเป็นปกติถึงขณะฟ้องเป็นเวลาถึง 20 ปี จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยนำรถแทรกเตอร์สำหรับไถดินหรือนำเครื่องทุนแรงชนิดอื่นกระทำการบุกรุกเข้าไปขุดไถทำลายพื้นที่ผิวจราจรในถนนหนองแขม-บางบอน สายเดิม ในส่วนซึ่งผ่านที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จนพื้นผิวจราจรบริเวณดังกล่าวถูกทำลายเสียหาย และร่วมกันนำเสา 2 ต้นมาปักติดป้ายข้อความว่า”ทางส่วนบุคคลสงวนสิทธิ” ด้วย ทำให้ยานพาหนะไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ตามปกติ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันรื้อถอนเสาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาไม้ซึ่งสร้างกีดขวางถนนหนองแขม – บางบอน (สายเดิม) และรื้อถอนเสาป้ายชื่อแสดงว่าเป็นถนนหรือทางส่วนบุคคลสงวนสิทธิออกจากถนนหนองแขม บางบอน(สายเดิม) ของโจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอน โดยกำหนดให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งสิ้นแทนโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 658,062.42 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า ถนนหนองแขม – บางบอน (สายเดิม)เฉพาะส่วนที่ผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสามมิใช่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททางหลวงสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และมิใช่เป็นทรัพย์ของโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่เคยออกเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการทำถนนหนองแขม – บางบอน (สายเดิม) ประชาชนร่วมกันทำขึ้นมาเอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรื้อถอนเสาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาไม้ซึ่งสร้างกีดขวางถนนหนองแขม บางบอน(สายเดิม) และรื้อถอนเสาป้ายชื่อทางส่วนบุคคลสงวนสิทธิออกจากถนนหนองแขม-บางบอน (สายเดิม) และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อแรกที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าถนนสายพิพาทไม่ได้เป็นถนนสาธารณะที่อยู่ในความดูแลรักษาคุ้มครองป้องกันของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับเอาแก่จำเลยทั้งสามนั้น ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า ถนนสายพิพาทตลอดสายซึ่งรวมถึงส่วนที่ตัดผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสามหรือส่วนที่เป็นที่พิพาทด้วยได้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(2) แล้วทันทีที่จำเลยที่ 1 และนายต่วนในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แสดงเจตนาอุทิศให้ใช้ตัดถนนสายพิพาท แม้จะได้ความดังที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่าเมื่อทางราชการตัดถนนสายใหม่ คือ ถนนบางบอน สาย 5ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนสายพิพาทไม่มีประชาชนใช้ถนนเฉพาะส่วนที่เป็นที่พิพาทอีก หรือแม้นายต่วนจะได้อุทิศที่พิพาทให้ตัดถนนสายพิพาทโดยมีเงื่อนไขต่อผู้มาเจรจาขอให้อุทิศส่วนที่เป็นที่พิพาทไว้ว่าหากทางราชการได้ตัดถนนสายใหม่ คือถนนบางบอน สาย 5 แล้วให้ยกเลิกถนนสายพิพาทส่วนที่เป็นที่พิพาทเสียก็ตาม ข้อเท็จจริงดังกล่าวหาได้ทำให้ถนนสายพิพาทตลอดสายรวมถึงส่วนที่เป็นที่พิพาทสิ้นสภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปไม่เมื่อถนนสายพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินถนนดังกล่าวก็อยู่ในความดูแลรักษาคุ้มครองป้องกันของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม
ประเด็นต่อมาที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า จำเลยทั้งสามไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์เพราะโจทก์มิได้เป็นผู้ตัดถนนสายพิพาทหรือมิได้เป็นผู้ดูแลรักษาถนนสายดังกล่าว ขณะเกิดเหตุถนนบริเวณส่วนที่เป็นที่พิพาทไม่มีสภาพเป็นถนนแล้วเพราะมีต้นไม้และหญ้าขึ้นปกคลุมโดยทั่วไป ประชาชนไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรไปมาได้ จำเลยทั้งสามเป็นผู้ครอบครองที่ดินบริเวณส่วนที่เป็นที่พิพาทมาโดยตลอดจำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิที่จะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่เป็นที่พิพาทนั้น เห็นว่าแม้ถนนส่วนที่เป็นที่พิพาทประชาชนจะมิได้ใช้ประโยชน์ในการสัญจรไปมาแล้วก็ตามแต่เมื่อถนนส่วนดังกล่าวตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ทั่วไปแล้ว สภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หาได้สูญสิ้นไปเพราะการใช้ไม่ได้แต่อย่างใดไม่ ดังนั้นแม้จำเลยทั้งสามจะได้ครอบครองถนนบริเวณส่วนที่เป็นที่พิพาทเป็นเวลานานเท่าใดก็ตาม จำเลยทั้งสามก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาที่ดินส่วนที่เป็นที่พิพาทกลับคืนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามได้อีกตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 ฉะนั้น การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันขุดไถทำลายถนนส่วนที่เป็นที่พิพาท รวมทั้งการร่วมกันนำเสาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาไม้จำนวนหลายต้นไปปักลงในส่วนของถนนที่ถูกขุดไถทำลายและการที่จำเลยทั้งสามร่วมกันนำเสาไปปักติดป้ายบอกข้อความว่า ถนนดังกล่าวเป็นทางส่วนบุคคลที่จำเลยทั้งสามสงวนสิทธิดังภาพถ่ายของ จ.1, จ.20,และ จ.21 ย่อมเป็นการทำให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของโจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share