คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2029/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยประกอบธุรกิจโรงแรมมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุว่าการประพฤติหรือปฏิบัติตนหรือบริการแขกหรือพนักงานอื่นในลักษณะที่หยาบโลนหรือผิดวัฒนธรรมประเพณีของไทยแม้เป็นการกระทำครั้งแรกจำเลยก็จะดำเนินการทางวินัยด้วยการปลดออกจากงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชยโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างโอบไหล่และพูดขอหอมแก้มอ. ซึ่งเป็นพนักงานทำความสะอาดที่บริษัทอื่นส่งมาทำความสะอาดโรงแรมของจำเลยก็เข้าลักษณะแขกหรือพนักงานอื่นเช่นกันทั้งยังเป็นความผิดทางอาญาฐานกระทำอนาจารด้วยแม้ขณะที่โจทก์กระทำจะไม่มีผู้อื่นพบเห็นแต่ก็มีอ. ที่พบเห็นและได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้ร่วมงานฟังจำเลยย่อมได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงแล้วเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีที่ร้ายแรงจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ47(4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2513 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2537 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และโจทก์มิได้กระทำผิดวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยซึ่งตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณค่าชดเชยว่าให้นำค่าบริการเฉลี่ย 12 เดือนสุดท้ายบวกกับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเป็นตัวคูณในการคำนวณค่าชดเชยดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 93,780 บาทและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 28,134 บาท แต่จำเลยไม่จ่ายให้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน 937,800 บาท โจทก์ยังประสงค์จะกลับเข้าทำงานกับจำเลยต่อไป ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่ง อัตราค่าจ้าง พร้อมสภาพการจ้างที่ไม่ต่ำกว่าเดิม โดยนับอายุงานต่อเนื่องเสมือนไม่มีการเลิกจ้างและจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายเดือนเดือนละ 15,630 บาทนับแต่วันที่ 7 เมษายน 2537 ไปจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม หากไม่สามารถปฏิบัติได้ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน93,780 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 28,134 บาทและค่าเสียหายจำนวน 937,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 1,059,714 บาท นับแต่วันที่ 7เมษายน 2537 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะชำระต้นเงินดังกล่าวให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2537 โจทก์พยายามกอดปล้ำกระทำอนาจารต่อนางอรศิริ อ่องบางน้อย พนักงานทำความสะอาดในเวลาทำงานและในสถานประกอบการของจำเลย ซึ่งเป็นความผิดต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงและเป็นความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งเป็นการกระทำผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมจำเลย มูลเหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2537 ขณะเกิดเหตุโจทก์ได้เรียกนางอรศิริอ่อนบางน้อย พนักงานทำความสะอาดของบริษัทพี.ซี.เอส จำกัดซึ่งรับจ้างทำความสะอาดให้แก่โรงแรมจำเลยไปพบ และเอามือโอบไหล่ กับพูดขอหอมแก้มนางอรศิริจริง แต่เมื่อนางอรศิริไม่ยอม โจทก์ก็มิได้ใช้กำลังบังคับเอาแต่อย่างใด การกระทำของโจทก์ยังไม่ถึงกับเป็นการกระทำที่หยาบโลนหรือผิดวัฒนธรรมไทยอย่างรุนแรง ยังไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้จำเลยไม่อาจไว้วางใจโจทก์ต่อไป จึงมีเหตุที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กรณีไม่มีเหตุให้จำเลยต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม เมื่อการกระทำของโจทก์มิใช่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และเมื่อมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 93,780 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่าโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในบริษัทจำเลย เรียกนางอรศิริ อ่องบางน้อยพนักงานทำความสะอาดของบริษัทพี.ซี.เอส. จำกัด ให้ขึ้นไปพบโจทก์แล้วเอามือโอบไหล่ กับพูดขอหอมแก้มนางอรศิริเป็นการกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรงตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.3ความผิดประเภท ง. ข้อ 12 นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวระบุว่า การประพฤติหรือปฏิบัติตน หรือบริการแขกหรือพนักงานอื่นในลักษณะที่หยาบโลนหรือผิดวัฒนธรรมประเพณีของไทย แม้เป็นการกระทำครั้งแรกจำเลยก็จะดำเนินการทางวินัยด้วยการปลดออกจากงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาปรากฏว่าจำเลยประกอบธุรกิจโรงแรม ซึ่งธุรกิจประเภทนี้ต้องอาศัยความเชื่อถือไว้วางใจจากคนเดินทางหรือแขกผู้มาพักหรือใช้บริการว่าเป็นที่ซึ่งให้ความปลอดภัยสะดวกสบายและสงบจึงจะแข่งขันกับผู้ที่ประกอบธุรกิจในลักษณะอย่างเดียวกันได้ จำเลยมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวไว้เพื่อจะให้พนักงานหรือลูกจ้างปฏิบัติเพื่อนำมาซึ่งความเชื่อถือดังกล่าว หากพนักงานหรือลูกจ้างประพฤติตนในลักษณะที่ขัดต่อวัฒนธรรมประเพณีของไทยอาจจะทำให้โรงแรมของจำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียงไม่ว่าจะได้กระทำต่อแขกหรือพนักงานอื่น สำหรับกรณีของโจทก์แม้จะได้กระทำต่อพนักงานทำความสะอาดที่บริษัทอื่นส่งมาทำความสะอาดโรงแรมของจำเลย ก็เข้าลักษณะเป็นแขกหรือพนักงานอื่นเช่นกัน นอกจากนี้การกระทำของโจทก์ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมานั้นยังเป็นความผิดทางอาญาฐานกระทำอนาจารด้วย แม้ขณะที่โจทก์กระทำจะไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นพบเห็น แต่อย่างน้อยก็มีนางอรศิริที่พบเห็นการกระทำของโจทก์ และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้ร่วมงานฟัง เห็นได้ว่าจำเลยได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงแล้วและมิใช่เป็นเรื่องเล็กน้อยดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแต่เป็นกรณีฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(4)ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share