คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2538

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินส.ค.1เลขที่58และเลขที่63จำเลยบุกรุกนำรถเข้าไปไถในที่นาตามส.ค.1เลขที่58โดยไม่ชอบขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่ดินส.ค.1เลขที่58และที่ดินเลขที่63ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวทั้งสองแปลงอีกต่อไปคู่ความตกลงกันให้จำเลยเป็นฝ่ายเข้าทำนาในที่นาพิพาทตามส.ค.1เลขที่58จนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดยไม่ปรากฏจากพยานหลักฐานโจทก์ว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินส.ค.1เลขที่63แต่อย่างใดการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยออกจากที่ดินส.ค.1เลขที่63ด้วยจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ ทั้ง แปด เป็น เจ้าของ ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 58และ เลขที่ 63 จำเลย ทั้ง สาม ได้ ร่วมกัน บุกรุก นำ รถ เข้า ไป ไถ ใน ที่นาตาม ส.ค.1 เลขที่ 58 ของ โจทก์ ทั้ง แปด โดย ไม่ชอบ ทำให้ โจทก์ทั้ง แปด ได้รับ ความเสียหาย เป็น ค่าขาดประโยชน์ เดือน ละ 10,000 บาทขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สาม และ บริวาร ออก ไป จาก ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 58และ ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 63 ของ โจทก์ ทั้ง แปด ห้าม มิให้ จำเลยทั้ง สาม และ บริวาร เข้า เกี่ยวข้อง กับ ที่ดิน ดังกล่าว ทั้ง สอง แปลง อีกต่อไป ให้ จำเลย ทั้ง สาม ชำระ ค่าเสียหาย ให้ โจทก์ ทั้ง แปด เป็นรายเดือน เดือน ละ 10,000 บาท นับแต่ วันฟ้อง เป็นต้น ไป จนกว่า จำเลยทั้ง สาม และ บริวาร จะ ออก ไป จาก ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง ของ โจทก์ ทั้ง แปด
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ และ แก้ไข คำให้การ ว่า ที่พิพาท เป็น ที่ดินของ นาย บุญ คุ้มวงษ์ บิดา ของ จำเลย ทั้ง สาม ซึ่ง ตกทอด มา เป็น ของ จำเลย ทั้ง สาม ความจริง แล้ว ที่พิพาท คือ ที่ดิน ตาม ส.ค.1เลขที่ 7 และ เลขที่ 9 มิใช่ ที่ดิน ตาม ส.ค.1 เลขที่ 58 และ 63ตาม ที่ โจทก์ ฟ้อง ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 7 นั้น เป็น ที่นา บิดา มารดาจำเลย ทั้ง สาม และ จำเลย ทั้ง สาม เป็น ผู้ครอบครอง สืบทอด ติดต่อ กันตลอดมา จน ถึง ปัจจุบัน นี้ โจทก์ ไม่เคย ยุ่ง เกี่ยว สำหรับ ที่ดิน ตามส.ค.1 เลขที่ 9 ซึ่ง เป็น ที่ บ้าน นั้น เมื่อ ครั้ง นาย บุญ ยัง มี ชีวิต อยู่ ได้ อนุญาต ให้ นาย รวย กับ นาย ผ่อง เข้า ปลูก บ้าน อยู่อาศัย บน ที่ดิน แปลง นี้ บางส่วน และ โจทก์ ซึ่ง เป็น ทายาท ของ นาย รวย กับ นาง ผ่อง ก็ ได้ อยู่อาศัย ใน บ้าน ดังกล่าว ต่อมา การ เข้า อยู่อาศัย ของ โจทก์ จึง เป็น การ อาศัย สิทธิ ของ จำเลย เอกสาร ส.ค.1 เลขที่ 58 และ63 ที่ โจทก์ อ้าง ตาม ฟ้อง นั้น เป็น เอกสารปลอม หรือ เป็น การ แจ้งส.ค.1 ทับ ที่ดิน ของ จำเลย โดย โจทก์ มิได้ มีสิทธิ ครอบครอง โจทก์ จึงไม่มี อำนาจฟ้อง ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ ทั้ง แปด อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ จำเลย ทั้ง สาม และ บริวาร ออกจาก ที่ดินส.ค.1 เลขที่ 58 และ ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 63 ของ โจทก์ ทั้ง แปดและ ห้าม มิให้ เข้า ไป เกี่ยวข้อง อีก ให้ จำเลย ทั้ง สาม ชำระ ค่าเสียหาย เป็นรายปี ปี ละ 30,000 บาท แก่ โจทก์ ทั้ง แปด นับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จำเลยทั้ง สาม จะ ออก ไป จาก ที่พิพาท คำขอ นอกจาก นี้ ให้ยก
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา โดย ผู้พิพากษา ที่ ได้ นั่งพิจารณา คดี ในศาลชั้นต้น รับรอง ว่า มีเหตุ สมควร ที่ จะ ฎีกา ใน ข้อเท็จจริง ได้
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา เป็น ข้อ สุดท้าย ว่า จำเลยมิได้ เข้า ไป อยู่ ใน ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 63 ศาลอุทธรณ์ จึง ไม่อาจพิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สาม ออกจาก ที่ดิน แปลง ดังกล่าว ได้ นั้น เห็นว่าโจทก์ บรรยายฟ้อง ว่า จำเลย ทั้ง สาม ได้ ร่วมกัน บุกรุก นำ รถ ไป ไถ ที่นาเฉพาะ ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 58 เพียง แปลง เดียว และ ได้ความ ตาม รายงานกระบวนพิจารณา ของ ศาลชั้นต้น ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2533 ว่าคู่ความ ตกลง กัน ให้ จำเลย ทั้ง สาม เป็น ฝ่าย เข้า ทำนา ใน ที่นา พิพาท ตามส.ค.1 เลขที่ 58 จนกว่า คดี จะ ถึงที่สุด แต่ ต้อง วางเงิน เป็นรายปี ปี ละ 30,000 บาท เท่านั้น โดย ไม่ปรากฏ จาก พยานหลักฐานโจทก์ อีก ว่า จำเลย ทั้ง สาม บุกรุก เข้า ไป ใน ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 63แต่อย่างใด ดังนั้น ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สาม และ บริวารออกจาก ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 63 ด้วย จึง ไม่ชอบ คง บังคับ ตามคำขอ ของ โจทก์ ได้ เพียง ห้ามเข้า เกี่ยวข้อง กับ ที่พิพาท แปลง นี้ เท่านั้นฎีกา ของ จำเลย ทั้ง สาม ข้อ นี้ ฟังขึ้น ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ จำเลย ทั้ง สาม และ บริวาร ออกจาก ที่พิพาทเฉพาะ ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 58 นอกจาก ที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์

Share