คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238-1239/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ศาลรวมการพิจารณาพิพากษาคดีที่จำเลยคนเดียวกันถูกฟ้องตั้งแต่ 2 สำนวนขึ้นไป คำว่า “ในคดีนั้น” ในตอนต้นของมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หมายถึงคดีแต่ละสำนวนเป็นรายคดี เมื่อกำหนดโทษจำคุกที่ศาลลงแก่จำเลยในแต่ละสำนวนตามที่ได้ลดโทษให้แล้วไม่เกิน 2 ปี และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้รอการลงโทษได้ถ้าเห็นเป็นการสมควร
( ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2518 )

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดี ๒ สำนวนรวมกัน ในสำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานเก็บรักษาเงินของบริษัทแองโกลไทยมอเตอร์ จำกัด ได้กระทำผิด ๕ กรรม โดยจำเลยเขียนรายการนำเงินของบริษัทเข้าฝากธนาคาร เมื่อได้รับใบฝากเงินฉบับของลูกค้ากลับคืนมาแล้ว จำเลยได้ทำเอกสารสิทธิปลอมขึ้นในใบนำฝากนั้น โดยเขียนเพิ่มรายการและเพิ่มจำนวนเงิน แล้วนำยอดเงินที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นลงบัญชีการรับเงินประจำวันของบริษัท และนำใบรับฝากเงินที่จำเลยทำปลอมขึ้นนั้นมาใช้หรืออ้างกับบริษัทเพื่อแสดงว่าได้นำเงินฝากธนาคารตามจำนวนนั้น ทำให้ยอดเงินคงเหลือของบริษัทขาดไป แล้วจำเลยได้เบียดบังยักยอกเงินจำนวนที่จำเลยเพิ่มเติมนั้น ในสำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานเก็บรักษาเงินของบริษัทอุตสาหกรรมไทยมอเตอร์ ได้กระทำความผิดต่อบริษัทนี้ในทำนองเดียวกันนั้นอีก ๕ กรรม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔,๒๖๕,๒๖๘,๓๕๒ กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่บริษัททั้งสอง และขอให้นับโทษติดต่อกัน
ชั้นแรกจำเลยให้การปฏิเสธ ในวันสืบพยานโจทก์ บริษัทแองโกลไทยมอเตอร์ จำกัด และบริษัทอุตสาหกรรมไทยมอเตอร์ จำกัด ผู้เสียหายได้ขอถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาฐานยักยอกทรัพย์โดยอ้างว่าจำเลยกับพวกได้นำเงินมาคืนให้เป็นที่พอใจแล้ว และก่อนศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์ จำเลยขอรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามโจทก์ฟ้องทุกประการ ขอให้รอการลงโทษจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๕ เรียงกระทงลงโทษกระทงละ ๖ เดือน สำนวนแรก ๔ กระทง (ที่ถูก ๕ กระทง) จำคุก ๒ ปี สำนวนหลัง ๕ กระทง จำคุก ๒ ปี ๖ เดือน รวม ๒ สำนวนจำคุก ๔ ปี ๖ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒ ปี ๓ เดือน และไม่รอการลงโทษให้จำเลยโดยอ้างว่าตามพฤติการณ์แห่งคดี โทษที่ศาลลงแก่จำเลยเกินกำหนดที่จะรอได้
จำเลยอุทธรณ์ขอรอการลงโทษโดยอ้างว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ เมื่อโทษแต่ละคดีไม่เกิน ๒ ปี ศาลย่อมรอการลงโทษได้ โดยเฉพาะคดีนี้ศาลลงโทษคดีแรก ๑ ปี คดีหลัง ๑ ปี ๓ เดือนแต่ละคดีไม่เกิน ๒ ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยว่า ศาลรอการลงโทษแก่จำเลยได้ โดยให้เหตุผลทำนองเดียวกับที่จำเลยอุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุก และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินสองปี…..ฯลฯ………….” จึงมีปัญหาว่า คำว่า “ในคดีนั้น” ในตอนต้นของมาตราดังกล่าวนี้ ถ้าเป็นกรณีที่ศาลรวมการพิจารณาพิพากษาคดีตั้งแต่ ๒ สำนวนขึ้นไป จะหมายความถึงคดีแต่ละสำนวนเป็นรายคดี หรือว่าทุกสำนวนรวมกันเสมือนหนึ่งคดีเดียว ได้ปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแล้วมีมติว่า ในกรณีที่ศาลรวมการพิจารณาพิพากษาคดีตั้งแต่ ๒ สำนวนขึ้นไปเช่นนี้ คำว่า “ในคดีนั้น” ในตอนต้นของมาตรา ๕๖ แห่งประมวลกฎหมายอาญาหมายถึงคดีแต่ละสำนวนเป็นรายคดี ดังนั้นคดีนี้ซึ่งศาลรวมการพิจารณาพิพากษาคดี ๒ สำนวน และกำหนดโทษที่ศาลลงแก่จำเลยแต่ละสำนวนตามที่ได้ลดโทษให้แล้วก็ไม่เกิน ๒ ปี เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยได้ ถ้าเห็นเป็นการสมควร สำหรับกรณีนี้ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าจำเลยเป็นหญิง ไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และได้ชดใช้เงินให้ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจแล้ว และผู้เสียหายก็ไม่ติดใจเอาโทษแก่จำเลยต่อไปแล้วด้วย สมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีสักครั้งหนึ่ง
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share