แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมอำเภอได้ประกาศหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่าบริเวณเดียวกันนั้นเพื่อประโยชน์ราชการทหาร ที่รกร้างว่างเปล่านั้นก็ยังคงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในสภาพเดิมเป็นแต่เปลี่ยนประโยชน์ที่ใช้เสียใหม่จากการใช้สำหรับราษฎรเลี้ยงสัตว์มาเป็นใช้ประโยชน์ในราชการทหารการหวงห้ามเดิมย่อมหมดสภาพไปทั้งตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามนั้นก็กำหนดให้เจ้ากรมแผนที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกานั้นด้วยดังนี้ อำเภอย่อมไม่มีหน้าที่ดูแลตรวจตราที่ดินนั้นต่อไปนายอำเภอจึงไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกานั้นเมื่อจำเลยฝ่าฝืนหามีความผิดฐานขัดคำสั่งของนายอำเภอไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายอำเภอบ้านนาได้มีคำสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินสาธารณประโยชน์ อันเป็นที่เลี้ยงปศุสัตว์จัดไว้สำหรับราษฎรไปเลี้ยงร่วมกัน แต่จำเลยขัดคำสั่งไม่ยอมออก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่จำเลยอาศัยอยู่ เป็นที่ดินของทางราชการทหารสงวนไว้ หาใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ที่เลี้ยงปศุสัตว์ไม่ นายอำเภอไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินรายนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า อำเภอบ้านนาได้ประกาศหวงห้ามและลงทะเบียนที่ดินบริเวณที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์จริง แต่ต่อมารัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่าบริเวณเดียวกันนั้นเพื่อประโยชน์ในราชการทหาร และวินิจฉัยว่า “ที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งอำเภอบ้านนาได้ประกาศหวงห้ามไว้สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ 7,500 ไร่นี้ ก็คงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในสภาพเดิมเมื่อใช้พระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่ดินบริเวณนี้เมื่อปี พ.ศ. 2494 เป็นแต่เปลี่ยนประโยชน์ที่ใช้เสียใหม่ แต่เดิมใช้สำหรับราษฎรเลี้ยงสัตว์ ภายหลังเปลี่ยนเป็นใช้ประโยชน์ในราชการทหารรัฐบาลย่อมมีอำนาจทำได้ เพราะเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งอาจออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามไว้ได้ตามพระราชบัญญัติหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่ออำเภอประกาศหวงห้ามไว้แล้ว กลายเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินออกภายหลังไม่คลุมถึงหรือไม่ลบล้างนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า อำนาจที่อำเภอประกาศหวงห้ามก็เป็นอำนาจของรัฐบาล และอำนาจที่ประกาศหวงห้ามใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาก็เป็นอำนาจของรัฐบาลเช่นเดียวกันเมื่อรัฐบาลเปลี่ยนประโยชน์ในการหวงห้ามเสียแล้ว การหวงห้ามแต่เดิมก็หมดสภาพไป ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินอะไร ถ้าไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า เป็นที่ดินมีเจ้าของ เจ้าของก็โต้แย้งขึ้นเอง แต่อำเภอไม่ใช่เจ้าของ จะโต้แย้งว่าคลุมถึงหรือไม่ถึงหาเป็นประเด็นไม่ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ. 2484 ฉบับนี้ มาตรา 3 กำหนดให้เจ้ากรมแผนที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกานี้ อำเภอมิได้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลตรวจตราต่อไปจึงไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกา จำเลยฝ่าฝืน หามีความผิดฐานขัดคำสั่งไม่” พิพากษายืน