คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506-507/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ 1 กับ ส. อีกฝ่ายหนึ่งเข้าหุ้นกันลงทุนซื้อหุ้นบริษัท น. เพื่อแบ่งกำไรหรือเงินปันผลจากการถือหุ้น การที่จำเลยที่ 1 กับ ส. มีชื่อถือหุ้นนั้น ถือได้ว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำนวนหุ้นของบริษัท น. จึงเป็นทรัพย์สินของหุ้นส่วนที่จะต้องนำมาแบ่งตามสัญญาเมื่อเลิกกันไม่ใช่จะแบ่งเฉพาะเงินลงทุนค่าหุ้น ตราบใดที่ยังไม่มีการชำระบัญชี หรือตกลงแบ่งกันโดยวิธีอื่นโจทก์ในฐานะหุ้นส่วนย่อมมีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งเงินปันผลในปี 2510 และ ปี ต่อๆ ไป จนกว่าจะชำระบัญชีหรือตกลงแบ่งกันเสร็จ
โจทก์ฟ้องเรียกทุนของหุ้นส่วน ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน และขอแบ่งเงินปันผลในปี 2511 ซึ่งศาลล่างก็รับพิจารณาสืบพยานทั้งสองฝ่ายจนสิ้นกระแสความแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะรื้อฟื้นให้ชำระบัญชีในเรื่องดังกล่าวอีก ศาลย่อมวินิจฉัยถึงจำนวนทุนและพิพากษาให้แบ่งเงินปันผลในปี 2511 ไปทีเดียวได้และการบังคับให้แบ่งกำไรในปี 2511 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการและทายาทผู้รับมรดกของ ส. ต้องรับผิดร่วมกัน
จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกเงินภาษีที่อ้างว่าเสียเพิ่มเติมคืนจึงไม่เป็นประเด็นในคดี
เมื่อ พ. ผู้เป็นหุ้นส่วนตาย ห้างย่อมเลิกกันโดยศาลไม่ต้องสั่งอีก และกรณีนี้ศาลไม่ควรพิพากษาให้จำเลยแบ่งเงินปันผลและคืนเงินค่าหุ้นให้โจทก์โดยไม่ตั้งผู้ชำระบัญชี

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน

สำนวนแรก โจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันแบ่งเงินปันผลประจำปี2511 ที่บริษัทน้อมมิตร จำกัด จ่ายให้หุ้นส่วนจำนวน 153,556 บาทให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ สำนวนที่สองโจทก์ขอให้พิพากษาเลิกสัญญาหุ้นส่วนตามสำเนาเอกสารหมาย 1 และ 2 ให้โจทก์จำเลยร่วมกันชำระบัญชีหรือตั้งบุคคลที่โจทก์และจำเลยที่ 1 เห็นชอบให้เป็นผู้ชำระบัญชี นำหุ้นบริษัทน้อมมิตรจำกัด 7,720หุ้นมาแบ่งกัน ถ้าตกลงกันไม่ได้หรือแบ่งไม่ได้ ให้แบ่งโดยวิธีประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลย หรือขายทอดตลาดแล้วแบ่งกัน โดยโจทก์มีสิทธิได้รับเงินทุนคืน617,600 บาท จำเลยทั้งหกได้รับเงินทุนคืน 155,400 บาท ถ้าราคาหุ้นเกินกว่ามูลค่าหุ้นละ 100 บาทเท่าใด ให้โจทก์จำเลยมีสิทธิฝ่ายละครึ่ง ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่า 100 บาท ให้แบ่งกันตามส่วนของทุนที่ออกเงินลงทุน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้คดี และฟ้องแย้งในสำนวนแรก

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันแบ่งเงินปันผลปี 2511 ให้โจทก์ 153,566 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้หุ้นส่วนระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 กับพันเอกสนั่นเลิกกัน ให้ตั้งบุคคลที่โจทก์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงกันเป็นผู้ชำระบัญชี หากตกลงกันไม่ได้ ให้ตั้งหัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ชำระบัญชี โดยแบ่งหุ้นส่วนในจำนวน 7,720 หุ้นตามเอกสารหมาย 3 ท้ายฟ้องให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินทุนคืน 617,600 บาท จำเลยทั้งหกมีสิทธิได้รับเงินทุนคืน 154,400บาท ถ้ามูลค่าหุ้นเกินกว่าหุ้นละ 100 บาท ให้โจทก์จำเลยมีสิทธิในส่วนเกินฝ่ายละครึ่ง ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นละ 100 บาท ให้แบ่งตามส่วนของเงินที่แต่ละฝ่ายลงทุน ถ้าไม่ตกลงแบ่งหุ้น 7,720 หุ้นได้ ก็ให้ประมูลกันระหว่างโจทก์จำเลยหากไม่ตกลง ก็ให้ขายทอดตลาดหุ้นทั้งหมด แบ่งเงินกันตามส่วนดังกล่าว คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า หุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และพันเอกสนั่นได้เลิกกันแล้วด้วยเหตุแห่งการตายของพันเอกสนั่นผู้เป็นหุ้นส่วนลดคนหนึ่ง ให้จำเลยที่ 1 แบ่งเงินปันผลในหุ้นของบริษัทน้อมมิตรจำกัด ประจำปี 2511 ให้แก่โจทก์ 93,884 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 แบ่งเงินปันผลในหุ้นของบริษัทน้อมมิตร จำกัด ประจำปี 2511 ให้แก่โจทก์ 59,673 บาท (น่าจะเป็น59,672 บาท) พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินทุนค่าหุ้นให้โจทก์ 377,600 บาท และให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ร่วมกันรับผิดคืนเงินทุนค่าหุ้นในส่วนความรับผิดของพันเอกสนั่นให้โจทก์ 240,000 บาท โดยไม่ต้องตั้งผู้ชำระบัญชีอีก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยทุกคนทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อหุ้นส่วนคนหนึ่งตาย เป็นผลให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกันนั้นกรณีห้างหุ้นส่วนคดีนี้มีความจำเป็นต้องชำระบัญชีหรือไม่ เห็นว่า สัญญาหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ฝ่ายหนึ่งจำเลยที่ 1 และพันเอกสนั่นอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นสัญญาหุ้นส่วนลงทุนซื้อหุ้นบริษัทน้อมมิตร จำกัด เพื่อแบ่งปันกำไรหรือเงินปันผลจากการถือหุ้น การที่จำเลยที่ 1 และพันเอกสนั่นมีชื่อถือหุ้นนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำนวนหุ้นของบริษัทน้อมมิตร จำกัด จึงเป็นทรัพย์สินของหุ้นส่วนที่จะต้องนำมาแบ่งตามสัญญาเมื่อเลิกกัน หาใช่จะแบ่งเฉพาะเงินลงทุนค่าหุ้นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาไม่ ตราบใดที่ยังไม่มีการชำระบัญชีหรือตกลงแบ่งกันโดยวิธีอื่น โจทก์ในฐานะหุ้นส่วนย่อมมีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งเงินปันผลในปี2510 และปีต่อ ๆ ไปจนกว่าจะชำระบัญชีหรือตกลงแบ่งกันเสร็จที่โจทก์ฟ้องเรียกทุนของหุ้นส่วนคดีนี้ ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนและขอแบ่งเงินปันผลในปี 2511 นั้น ศาลล่างก็รับพิจารณาสืบพยานทั้งสองฝ่ายมาจนสิ้นกระแสความแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะรื้อฟื้นให้ชำระบัญชีในเรื่องดังกล่าวอีก ศาลย่อมวินิจฉัยถึงจำนวนทุนและพิพากษาให้แบ่งเงินปันผลในปี 2511 ไปทีเดียวได้ และการบังคับให้แบ่งกำไรในปี 2511 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการ และทายาทผู้รับมรดกของพันเอกสนั่นต้องรับผิดร่วมกัน เพราะจำเลยที่ 1 และพันเอกสนั่นเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนร่วมกันดังกล่าวแล้ว หาใช่มีความรับผิดแยกจากกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ส่วนผลประโยชน์อื่นใดอันเกิดจากกิจการหุ้นส่วนดังกล่าว ต่อจากปี 2511 ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีจำนวนแน่นอนเท่าใดสมควรให้จัดการชำระบัญชี

ที่จำเลยฎีกาว่า เนื่องจากจำเลยที่ 1 และพันเอกสนั่นรับเงินปันผลมาจ่ายให้โจทก์ตามสัญญา ซึ่งเงินปันผลนี้ก็ถูกหักภาษีชั้นต้นไว้ ณ ที่จ่ายแล้ว แต่ต่อมากรมสรรพากรได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้จากจำเลยที่ 1 และพันเอกสนั่นตั้งแต่ปี 2500 ถึง 2509 เพิ่มเติมอีก คือ จำเลยที่ 1 ต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 111,240.22 บาท พันเอกสนั่นเสียภาษีเพิ่มอีก 133,135 บาท 15 สตางค์ควรจะหักให้ฝ่ายจำเลยในการชำระบัญชีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยอ้างว่าโจทก์รับเงินปันผลปี 2500 ถึง 2509 ไปแล้ว ไม่ถูกต้อง เพราะคิดหักการเสียภาษีขาดไป แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกเงินภาษีที่อ้างว่าเสียเพิ่มเติมดังกล่าวคืน ไม่เป็นประเด็นในคดี จึงไม่วินิจฉัยให้

ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า หุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และพันเอกสนั่นได้เลิกกันแล้วด้วยเหตุการตายของพันเอกสนั่นผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง โดยศาลไม่จำเป็นต้องสั่งให้หุ้นส่วนดังกล่าวเลิกกันอีกนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 แยกกันแบ่งเงินปันผลให้โจทก์ และให้จำเลยทั้งหกคืนเงินทุนค่าหุ้นให้โจทก์ โดยไม่ต้องตั้งผู้ชำระบัญชีนั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

จึงพิพากษาแก้ เป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ข้อที่ให้ห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 กับพันเอกสนั่นเลิกกัน และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share