คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องโดยมีคำขอบังคับให้โจทก์มีอำนาจปกครองเด็กหญิง จ. แต่เพียงผู้เดียวพร้อมทั้งให้จำเลยส่งมอบบุตรผู้เยาว์คืนโจทก์ โดยเป็นการเรียกบุตรคืนโดยอาศัยอำนาจปกครองบุตรตามที่โจทก์กับจำเลยทำบันทึกไว้ท้ายทะเบียนหย่า จำเลยฟ้องแย้งโดยขอให้ชดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยต้องจ่ายไป ทั้งนี้หลังจากที่มีการทราบผลการตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมว่าจำเลยไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมเป็นบิดาของเด็กหญิง จ. ฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยจึงเป็นฟ้องแย้งที่อาศัยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่ในระหว่างพิจารณาคดีโดยเป็นการบังคับแก่โจทก์ให้ชำระค่าเสียหาย จึงเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้โจทก์มีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวพร้อมทั้งให้จำเลยส่งมอบบุตรคืนให้แก่โจทก์ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับเด็กหญิง จ. เป็นบุตรของจำเลย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรของโจทก์ ให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว และให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง จ. ให้แก่จำเลยเป็นเงิน 240,000 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง จ. แต่เพียงผู้เดียว ให้จำเลยส่งมอบบุตรผู้เยาว์คืนแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นได้ว่า เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2554 โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกัน ประมาณปลายเดือนเมษายน 2555 โจทก์มีเพศสัมพันธ์กับนาย ช. ต่อมาโจทก์ตั้งครรภ์และคลอดบุตรเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 ชื่อเด็กหญิง จ. ภายหลังคลอดบุตร โจทก์จำเลยนำเด็กหญิง จ. มาให้บิดามารดาจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูที่อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ต่อมาวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 โจทก์กับจำเลยตกลงจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน มีข้อบันทึกท้ายทะเบียนหย่าว่าโจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร แต่บิดามารดาจำเลยยังคงอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง จ. มาโดยตลอด ในระหว่างการพิจารณาคดีคู่ความตกลงกันว่าให้ตรวจวิเคราะห์พันธุกรรม (DNA) ระหว่างโจทก์ จำเลย เด็กหญิง จ. และนาย ช. เพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา มารดา และบุตร ผลการตรวจปรากฏว่านาย ช. มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมเป็นบิดาของเด็กหญิง จ. ส่วนจำเลยไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมเป็นบิดาของเด็กหญิง จ. คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์หรือจำเลยควรเป็นผู้มีสิทธิเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง จ. คดีนี้โจทก์ฟ้องมีคำขอบังคับให้จำเลยส่งมอบเด็กหญิง จ. บุตรผู้เยาว์คืนแก่โจทก์โดยโจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง จ. ผู้เยาว์ตามข้อตกลงที่บันทึกไว้ตามทะเบียนการหย่าที่ระบุให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร และโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าโจทก์กับจำเลยจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 ตามใบสำคัญการหย่าในการหย่าดังกล่าวมีข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าด้วยว่า โจทก์กับจำเลยได้แต่งงานกันมา 10 ปี มีบุตร 1 คน ให้บุตรคือเด็กหญิง จ. อยู่ในความปกครองของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว ปรากฏตามทะเบียนการหย่า โจทก์ยื่นฟ้องในคดีนี้โดยอาศัยข้อตกลงปรากฏตามทะเบียนการหย่า เพื่อให้จำเลยส่งมอบเด็กหญิง จ. ผู้เยาว์คืนแก่โจทก์ในฐานะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งมอบบุตรผู้เยาว์คืนโดยไม่สุจริตดังที่จำเลยฎีกา ทั้งการที่จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความเกี่ยวกับข้อตกลงนี้ว่าเหตุผลที่มีข้อตกลงในท้ายทะเบียนหย่าให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์นั้นเพราะโจทก์เป็นผู้กรอกเอกสารดังกล่าวมีน้ำหนักน้อยไม่อาจฟังลบล้างบันทึกท้ายทะเบียนการหย่า อันเป็นข้อความที่ปรากฏโดยมิใช่เป็นข้อความเขียน รวมถึงในระหว่างการพิจารณาคดีโจทก์กับจำเลยตกลงให้ตรวจวิเคราะห์พันธุกรรม ซึ่งปรากฏว่าจำเลยไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมเป็นบิดาของเด็กหญิง จ. โจทก์เป็นมารดาของเด็กหญิง จ. ทั้งปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่าปัจจุบันโจทก์ทำงานที่บริษัทพีอีเอ จำกัด กรุงเทพมหานคร มีรายได้เดือนละ 12,000 บาท โจทก์มีความสามารถในการเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์และให้การศึกษาได้ โจทก์ประกอบอาชีพสัมมาอาชีวะและมีรายได้ที่แน่นอนย่อมส่งผลดีที่จะได้รับความอบอุ่นจากมารดาและความเป็นอยู่ต่อไปในอนาคตอันเป็นประโยชน์ของเด็กหญิง จ. ผู้เยาว์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง จ. แต่เพียงผู้เดียวและให้จำเลยส่งมอบเด็กหญิง จ. คืนแก่โจทก์จึงชอบแล้ว ในส่วนฎีกาของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องแย้งนั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีคำขอบังคับให้โจทก์มีอำนาจปกครองเด็กหญิง จ. แต่เพียงผู้เดียวพร้อมทั้งให้จำเลยส่งมอบบุตรผู้เยาว์คืนโจทก์ โดยเป็นการเรียกบุตรคืนโดยอาศัยอำนาจปกครองบุตรตามที่โจทก์กับจำเลยทำบันทึกไว้ท้ายทะเบียนหย่า จำเลยฟ้องแย้งโดยขอให้ชดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยต้องจ่ายไป ทั้งนี้หลังจากที่มีการทราบผลการตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมว่าจำเลยไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมเป็นบิดาของเด็กหญิง จ. ฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยจึงเป็นฟ้องแย้งที่อาศัยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่ในระหว่างพิจารณาคดีโดยเป็นการบังคับแก่โจทก์ให้ชำระค่าเสียหาย จึงเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 วรรคสาม มาตรา 6 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น เมื่อฟ้องแย้งส่วนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ยกฟ้องแย้งในส่วนนี้มา เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รับฟ้องแย้งในส่วนที่ขอค่าอุปการะเลี้ยงดู คืนค่าขึ้นศาลในส่วนนี้แก่จำเลย ทั้งสามศาล นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share