แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกเท่านั้น มิได้ขอให้ที่ดินพิพาทเป็นของตน หากฟังว่าโจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทก็ยังเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกอยู่ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลทั้งสามชั้นศาลจากโจทก์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคืนค่าขึ้นศาลที่เรียกเก็บเกินมา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิเก็บกินและให้จำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเก็บกินให้โจทก์ลงในโฉนดที่ดินเลขที่ 6048 เลขที่ดิน 15 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 3 ไร่ หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ดำเนินการ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ด
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 6 ให้การทำนองเดียวกันขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำบอกกล่าวถอนฟ้องจำเลยที่ 7 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และจำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 7 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า นายแผนมีภริยาซึ่งไม่จดทะเบียนสมรสทั้งหมด 5 คน มีบุตรรวม 17 คน โจทก์เป็นภริยาคนที่ 4 มีบุตรด้วยกันกับนายแผนรวม 3 คน คือนายผาเมือง นายผาไท และนางสาวผูกจิตร จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นบุตรนายแผนที่เกิดจากนางอรณี ภริยาคนแรกของนายแผน นางทองดีเป็นภริยาคนที่ 3 ของนายแผน ตามบัญชีเครือญาติ จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 และนายทัศนัย น้องชายโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลซึ่งนายแผนระบุชื่อผู้จัดการมรดกไว้ในพินัยกรรม นายแผนถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2525 มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินหลายแปลงซึ่งรวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 6048 เนื้อที่ 369 ไร่ 3 งาน 7 ตารางวา ก่อนถึงแก่ความตายนายแผนทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ลงวันที่ 14 เมษายน 2525 ไว้และได้มีการทำบันทึกคำสั่งของนายแผนไว้เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2525
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของที่ดินโฉนดเลขที่ 6048 ภายในเส้นสีแดงตามแผนผังสังเขป เป็นที่ดินที่นายแผนมอบให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิตจริงหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์นอกจากไม่มีน้ำหนักให้รับฟังตามคำฟ้องของโจทก์แล้ว กลับเจือสมพยานหลักฐานของจำเลยให้รับฟังได้ว่านายแผนไม่เคยมอบสิทธิเก็บกินในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ซึ่งโจทก์ยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย เห็นว่า คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เพียงแต่ให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินพิพาทเท่านั้น หากฟังว่าโจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินพิพาทดังที่โจทก์ฟ้อง ที่ดินพิพาทก็ยังเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนายแผนเช่นเดิม คดีนี้จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์ทั้งสามชั้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้นไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคืนค่าขึ้นศาลที่เรียกเก็บเกินมา
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งสามศาลที่เรียกเก็บจากโจทก์มาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ คงเรียกเก็บค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ทั้งสามศาล ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ