แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การตรวจพบธนบัตรของกลางที่ใช้ล่าซื้อ แม้จะขาดหายไปไม่ครบจำนวนก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ ข้อสำคัญคือธนบัตรของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้อยู่ที่ตัวจำเลย พยานมิได้มีสาเหตุโกรธเคืองใดๆ กับจำเลยขณะเกิดเหตุเป็นเยาวชนได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน นักสังคมสงเคราะห์พนักงานอัยการและทนายความ ข้อความที่พยานได้ให้การนั้นไม่ได้เป็นคำซัดทอดเพื่อทำให้ตนเองพ้นผิด พยานจึงมิได้ประโยชน์ใดๆ จากการให้การเช่นนั้น พยานหลักฐานของโจทก์มิได้มีแต่เพียงพยานบอกเล่าและคำซัดทอดของพยาน แต่มีทั้งสิบตำรวจเอก ป. และสิบตำรวจโท ส. ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่ร่วมจับกุมเห็น ล. ส่งมอบธนบัตรที่ล่อซื้อให้แก่จำเลย และตรวจค้นพบธนบัตรของกลางได้ที่ตัวจำเลย เมื่อนำมาประกอบกันทำให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดมาจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), มาตรา 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 6 ปี รวมจำคุก 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสามคงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นางสาวลูกน้ำ ขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ดในราคา 160 บาท ให้แก่สายลับที่ล่อซื้อ สิบตำรวจเอกประสาน สิบตำรวจโทสุพรรณกับพวกร่วมกันจับกุมนางสาวลูกน้ำและจำเลยโดยตรวจพบธนบัตรฉบับละ 100 บาท ที่ใช้ล่อซื้อได้ที่จำเลย และยังตรวจพบเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 15 เม็ด ที่ตัวนางสาวลูกน้ำ รวมเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวน 17 เม็ด น้ำหนัก 1.570 กรัม จากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้นำตัวนางสาวลูกน้ำและจำเลยพร้อมของกลาง ได้แก่เมทแอมเฟตามีนและธนบัตรดังกล่าวส่งพันตำรวจโทอนุวรรตน์ พนักงานสอบสวนดำเนินคดี คดีมีปัญหาที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาหรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจเอกประสานและสิบตำรวจโทสุพรรณ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางกรวย เป็นประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่นางสาวลูกน้ำรับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อมาจากสายลับ แล้วนำธนบัตรดังกล่าวมอบให้จำเลยซึ่งขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้านห่างจากจุดล่อซื้อประมาณ 2 เมตร เมื่อพยานโจทก์ทั้งสองเข้าจับกุมนางสาวลูกน้ำและจำเลยแล้ว ได้ทำการตรวจค้นพบธนบัตรฉบับละ 100 บาท ที่ใช้ล่อซื้อที่ตัวจำเลย จำเลยนำสืบรับในข้อนี้ว่าพบธนบัตรฉบับละ 100 บาท ที่ใช้ล่อซื้อที่ตัวจำเลยจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงอ้างว่า ไม่แน่ใจว่าได้รับธนบัตรที่ล่อซื้อดังกล่าวมาจากนางสาวลูกน้ำที่นำมาชำระค่าก๋วยเตี๋ยวที่ค้างชำระไว้ตั้งแต่ตอนเช้า หรือได้มาจากพ่อค้าหาบของขายที่นำมาขอแลกธนบัตรย่อยไปจากจำเลย คนใดคนหนึ่ง เรื่องนี้จำเลยเคยให้การในชั้นจับกุมอ้างว่า นางสาวลูกน้ำส่งเงินให้จำเลยเก็บรักษาไว้ให้แก่คนชื่อไหม ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ซึ่งจะมารับตอนเย็นทุกวันตามบันทึกการจับกุมในชั้นสอบสวนจำเลยอ้างว่า ธนบัตรดังกล่าวนางสาวลูกน้ำนำมาแลกธนบัตรย่อยไปจากจำเลยตามคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเห็นได้ว่าจำเลยให้การในเรื่องนี้แต่ละครั้งแตกต่างกัน จะรับฟังเป็นจริงอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ สิบตำรวจเอกประสานและสิบตำรวจโทสุพรรณพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันในข้อนี้ว่า พยานทั้งสองได้ทำการตรวจค้นตัวนางสาวลูกน้ำและจำเลยแทบจะทันทีทันใด หลังจากที่นางสาวลูกน้ำได้ส่งธนบัตรของกลางให้แก่จำเลย และยึดได้ธนบัตรของกลางรวมอยู่กับธนบัตรฉบับอื่น ๆ ที่ตัวจำเลย จึงเชื่อได้ว่าธนบัตรของกลางนั้น จำเลยได้รับมาจากนางสาวลูกน้ำ หลังจากที่นางสาวลูกน้ำขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับไปแล้วนำมามอบให้แก่จำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ธนบัตรของกลางดังกล่าวอันเป็นวัตถุพยานที่สำคัญตรวจค้นได้ที่ตัวจำเลยทันทีที่นางสาวลูกน้ำนำมามอบให้ภายหลังจากที่ขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า การตรวจค้นพบธนบัตรที่ล่อซื้อพบแต่เพียงบางส่วนไม่พบทั้งหมด กล่าวคือ ตามบัญชีของกลางคดีอาญามีธนบัตรฉบับละ 20 บาท อยู่เพียง 2 ฉบับ ไม่ครบตามจำนวนที่สายลับได้จ่ายไปในการล่อซื้อเป็นจำนวน 160 บาท ทั้งที่อ้างว่าตรวจค้นในทันทีนั้น เห็นว่า การตรวจพบธนบัตรของกลางที่ใช้ล่อซื้อ ฉบับที่สำคัญคือ ฉบับละ 100 บาท ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้ถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนที่จะนำมาใช้ล่อซื้อตามสำเนาธนบัตรและรายงานประจำวัน เมื่อตรวจพบธนบัตรที่จำเลย แม้จะพบธนบัตรฉบับละ 20 บาท เพียง 2 ฉบับ ขาดหายไป 1 ฉบับ ไม่ครบจำนวน 60 บาทที่เหลือ ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะนางสาวลูกน้ำอาจจะได้รับเงินมาไม่ครบจำนวนหรือส่งมอบเงินให้แก่จำเลยไม่ครบหรือมีเหตุอื่นก็เป็นได้ ข้อสำคัญคือธนบัตรของกลางฉบับละ 100 บาท ที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้อยู่ที่ตัวจำเลย ข้อที่จำเลยฎีกาอ้างว่า นางสาวลูกน้ำมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ คำให้การจึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่ควรแก่การรับฟังนั้น เห็นว่า นางสาวลูกน้ำมิได้มีสาเหตุโกรธเคืองใด ๆ กับจำเลย ขณะเกิดเหตุเป็นเยาวชนมีอายุเพียง 17 ปี ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามคำให้การว่าได้รับเมทแอมเฟตามีนของกลางในวันเกิดเหตุมาจากจำเลยจำนวน 17 เม็ด เพื่อนำมาจำหน่าย และจำหน่ายให้สายลับไปจำนวน 2 เม็ด คำให้การของนางสาวลูกน้ำนั้นได้กระทำต่อหน้าพนักงานสอบสวน นักสังคมสงเคราะห์ พนักงานอัยการและทนายความ ข้อความที่นางสาวลูกน้ำได้ให้การนั้นไม่ได้เป็นคำซัดทอดเพื่อทำให้ตนเองพ้นผิด นางสาวลูกน้ำจึงมิได้ประโยชน์ใด ๆ จากการให้การเช่นนั้น พยานหลักฐานของโจทก์มิได้มีแต่เพียงพยานบอกเล่าและคำซัดทอดของนางสาวลูกน้ำดังที่จำเลยฎีกามาเท่านั้น แต่มีทั้งสิบตำรวจเอกประสาน สิบตำรวจโทสุพรรณ ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่ร่วมจับกุมเห็นนางสาวลูกน้ำส่งมอบธนบัตรที่ล่อซื้อให้แก่จำเลย และตรวจค้นพบธนบัตรของกลางได้ที่ตัวจำเลย เมื่อนำมาประกอบกันทำให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาจริง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน