คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5146/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกใช้รถยนต์กระบะขับตระเวนลักทรัพย์และบรรทุกทรัพย์สินไปขายแก่ผู้รับซื้อของเก่า เป็นเพียงการใช้รถยนต์กระบะเป็นยานพาหนะเดินทางไปยังสถานที่ที่จะลักทรัพย์เท่านั้น ทั้งจำเลยกับพวกลักทรัพย์สำเร็จแล้วจึงนำทรัพย์ของผู้เสียหายที่ลักมาบรรทุกรถยนต์กระบะเพื่อนำไปขายแก่ผู้รับซื้อของเก่า ซึ่งตามปกติรถยนต์กระบะโดยสภาพมีไว้เพื่อบรรทุกคนหรือสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังที่อื่นอันเป็นวัตถุประสงค์ทั่วไป รถยนต์กระบะจึงไม่ใช่เครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์ที่ใช้กระทำความผิดโดยตรงริบไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันลักเหล็กตัวต่อนั่งร้าน (เหล็กป๊อป) จำนวน 50 ท่อน ราคา 5,000 บาท เหล็กกล่อง จำนวน 15 กล่อง ราคา 3,000 บาท ของนายพรชัย ผู้เสียหายไป โดยใช้รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน รอ 322 กรุงเทพมหานคร เป็นยานพาหนะขับตระเวนลักทรัพย์และบรรทุกทรัพย์สินของผู้เสียหายไปขายแก่ผู้รับซื้อของเก่าเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด การพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 334, 335, 336 ทวิ ริบของกลาง นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1092/2551 ของศาลชั้นต้น และให้จำเลยคืนเหล็กท่อนตัวต่อนั่งร้าน (เหล็กป๊อป) จำนวน 50 ท่อน และเหล็กกล่อง จำนวน 15 กล่อง แก่ผู้เสียหาย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 8,000 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนการสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นให้การรับสารภาพ กับรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน ริบของกลาง นับโทษของจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1092/2551 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยคืนเหล็กท่อนตัวต่อนั่งร้านจำนวน 50 ท่อน และเหล็กกล่องจำนวน 15 กล่อง แก่ผู้เสียหาย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 8,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถยนต์กระบะของกลาง แต่ให้คืนของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า รถยนต์กระบะของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) หรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลจะมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) นั้น มีความมุ่งหมายถึงให้ริบตัวทรัพย์สินที่ผู้กระทำความผิดได้ใช้ในการกระทำความผิดนั้นๆ โดยตรง กล่าวคือ ทรัพย์สินนั้นจะต้องเกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดด้วย ซึ่งเป็นพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องๆ ไป แม้คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกลักทรัพย์ของผู้เสียหายโดยใช้รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะขับตระเวนลักทรัพย์และบรรทุกทรัพย์สินของผู้เสียหายไปขายแก่ผู้รับซื้อของเก่า และจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม แต่การที่จำเลยกับพวกใช้รถยนต์กระบะของกลางขับตระเวนลักทรัพย์เป็นเพียงการใช้รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะเดินทางไปยังสถานที่ที่จะลักทรัพย์เท่านั้น ทั้งการกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการลักทรัพย์สำเร็จ แล้วจำเลยกับพวกจึงนำทรัพย์ของผู้เสียหายที่ลักมาบรรทุกรถยนต์กระบะของกลางเพื่อนำไปขายแก่ผู้รับซื้อของเก่า ซึ่งตามปกติรถยนต์กระบะของกลางโดยสภาพมีไว้เพื่อบรรทุกคนหรือสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังที่อื่นอันเป็นวัตถุประสงค์ทั่วไป ดังนี้ รถยนต์กระบะของกลางจึงไม่ไช่เครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์ที่ใช้กระทำความผิดโดยตรง จึงริบรถยนต์กระบะของกลางไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่ริบรถยนต์กระบะของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share